เรื่อง+ภาพ : ศุภฤกษ์ นฤเบศร์ไกรสีห์

บทความนี้มาจาก Camerart Magazine 246/2018 March

ฟูจิ ฟิล์ม เปิดตัวกล้องรุ่นสูงสุดของ X series เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยพัฒนาจาก X-T2 ในทุกๆ ด้าน ทั้งเรื่องโฟกัส ความทนทาน ความคล่องตัวในการใช้งาน ระบบการถ่ายภาพวีดีโอที่แยกการทำงานออกมาต่างหาก ทำให้ใช้งานได้คล่องตัวขึ้นอย่างมาก ร่วมทั้งมี F-Log โหมดสี Eterna ที่มีช่วงการรับแสงกว้าง และให้สีสันแบบฟิล์มภาพยนตร์

FUJIFILM X-H1 เป็นกล้อง ที่มีระบบกันสั่นถ่ายภาพนิ่งได้อย่างรวดเร็ว โฟกัสได้รับการปรับปรุงใหม่ ทำให้ใช้งานได้ดีขึ้นมากทั้งภาพนิ่งโดยเฉพาะวิดีโอ ตัวกล้องมีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก จะบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือไปหลังมือจาก X-T2 เลยก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าใช้ Processer และ sensor ร่วมกัน เป็นการอัพเกรดจาก X-T2 ขึ้นไปแล้วก็ผสมกับ GFX เพื่อให้รองรับการใช้งานระดับอาชีพอย่างแท้จริง

เมื่อดูรายละเอียดของตัวกล้องจะพบว่าตัว FUJIFILM X-H1 มี Grip ใหญ่กว่าเพื่อให้จับให้ถนัด มีความกว้าง สูง หนา มากขึ้นในทุกมิติ วงแหวนปรับชดเชยแสงหายไปแล้วทดแทนด้วยจอ LCD ปุ่มกด Shutter ไปอยู่ที่ Grip ทำให้จับได้ถนัดและก็กด Shutter ได้ถนัดมากขึ้น ส่วนการวางปุ่มยังคงคล้าย X-T2 แต่ว่าตัวใหญ่และก็จับถนัดมาก และใช้งานดีขึ้นเยอะ แบตเตอรี่ Grip ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นและก็จับแนวตั้งได้ง่ายขึ้นด้วย ปุ่มกด Shutter ก็จะใช้งานได้ง่ายขึ้น ท่าทางเวลาเราถือกล้องก็จะดีขึ้นเยอะ ตัวกล้องยังคงรองรับ SD Card UHS-II 2 slot เหมือนเดิม จอด้านหลังจะเป็นแบบพลิกได้แต่ว่าการเปิดจอด้านหลังไม่จำเป็นต้องสไลด์แล้ว จะกดแล้วก็ดึงขึ้นได้เลย ทำให้ใช้งานได้สะดวกขึ้นเยอะ ช่องมองภาพมีการถอยออกมาเพื่อเวลาเราเล็งกล้องแก้มจะได้ไม่ไปโดนกับจอ LCD ด้านหลัง ส่วนปุ่ม Q จะย้ายไปตรง Grip เพื่อให้กดได้ถนัดขึ้น ที่วางมือกับที่จับกล้องจะดีขึ้นที่สำคัญมากก็คือ ระบบระบายความร้อนของกล้องจะดีขึ้นด้วย ทำให้รองรับการถ่ายวิดีโอหนักๆ ได้สบาย จอด้านหลังเป็น Touchscreen แล้วก็ใช้เป็น TouchPad ได้ด้วย แบบเดียวกับตัว X-E3 ตัวกล้องแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะเมาท์รองรับเลนส์ภาพยนตร์ ซึ่งมีน้ำหนักสูงมาก การที่ Body ใหญ่ขึ้นจะทำให้นอกจากการจับถือดีขึ้นแล้วก็ดูโปรขึ้นเวลาใครที่รับงานถ่ายรูป และเอาตัว X-H1 ไปเจ้าของงานก็จะเห็นว่าใช้กล้องตัวใหญ่ ไม่ได้ดูตัวเล็กแบบตัว X-T2 หรือตัว X-Pro2 ตัวกล้องเคลือบสีได้ดีขึ้นแล้วก็สามารถกันรอยขูดขีดได้ระดับ 8H ส่วนระบบซีลต่างๆ ก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน วงแหวนด้านหน้า-หลัง จะนูนขึ้นแล้วก็แข็งขึ้นทำให้เวลากดได้อรรถรส ได้ฟิลลิ่งมากขึ้น ป้องกันเวลาไปโดนแล้วเปลี่ยนค่า ความเร็ว Shutter หรือขนาดช่องรับแสงปุ่มกดต่างๆ ใหญ่ขึ้น และก็นูนขึ้นเพื่อให้กดได้ถนัด ปุ่ม AE-L และ AF-ON จะมาอยู่คู่กันใหญ่ขึ้น แต่ว่าทำให้สัมผัสไม่เหมือนกันเวลาเราสัมผัสเราจะรู้ว่าปุ่มไหนเป็นอะไร พอร์ทด้านซ้ายมือยังมีช่องเสียบไมค์ ช่องเสียบรีโมท USB 3.0 และก็ Micro HDMI โดยรวมการปรับตั้งควบคุมจะดีขึ้นในทุกๆ ด้านเลย

FUJIFILM X-H1 ยังคงใช้ X-Trans CMOS III เหมือนเดิม และก็ใช้ X-Processor Pro เหมือนเดิม แต่ว่ามีการปรับ Algorithm การทำงานให้ใช้ Sensor และก็ Processor สุดขีดเต็ม 100% มีระบบลดการสั่นไหว 5 แกน 5.5 stop มาทั้งแนวแกน X, Y, Yaw, Pitch และก็ Roll ทำงานกับเลนส์ทุกตัวที่มีระบบลดการสั่นไหวและก็ไม่มีระบบลดการสั่นไหวด้วย ตัว Sensor จะมีตัวจับการเคลื่อนที่โดยใช้ Acceleration Sensor ตรวจวัดการเคลื่อนไหวในแกน X, Y และ Z และก็ใช้ Gyro Sensor จับการเคลื่อนไหวในแกน Yaw, Pitch และก็ Roll สามารถวัดการหมุนได้ 10,000 ครั้งต่อวินาที ชุด Shutter และระบบลดการสั่นไหวจะติดตั้งและวัดความแม่นยำด้วยระบบ Laser มีความแม่นยำในระดับไมครอน ซึ่ง FUJIFILM เครมว่า X-H1 มีระบบลดการสั่นไหวดีที่สุดในระบบ APS-C ตอนนี้

ชุด Shutter จะเป็น silent mechanical shutter โดยชุด Shutter เนี่ยจะมีสปริงที่รับแรงกระแทกทั้งด้านบน-ล่าง ทำให้เวลาเราใช้ mechanical Shutter เสียงจะเงียบมากเวลาที่คุณไปถ่ายรูปแล้วต้องการใช้ mechanical แต่ไม่ต้องการเสียงรบกวน ตัว X-H1 จะเวิร์คมากเลย ระบบการทำงานของ Shutter จะมีทั้งระบบกลไก และไฟฟ้าผสมผสานกัน โดยที่เราเข้าไปที่เมนูเราจะเห็นว่ามีคำอธิบายอยู่ด้านล่างว่าแต่ระบบใช้งานแบบไหน

ไฟล์ภาพยังคงเป็น 24 ล้านพิกเซล และก็เป็น Raw ไฟล์ 14 bit เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือโหมดสีแบบ Eterna โดย Eterna เป็นสีสำหรับถ่ายภาพยนตร์ ซึ่งสี Eterna จะออกอมโทนน้ำตาลไหม้นิดนึง แล้วมี Shadow detail ที่ยาวมาก เวลาที่เราถ่ายภาพมี contrast สูงแล้วต้องการ Shadow detail โหมดสี Eterna จะตอบสนองดีมาก แล้วสีผิวจะอมน้ำตาล ถ่ายแนว document ถ่าย Portrait หรือว่าถ่ายภาพยนตร์ที่เน้นสีผิวจะสวยมาก โหมด Eterna จะอยู่ในภาพนิ่งด้วย เวลาที่เราถ่าย Portrait ใครที่ชอบ Classic Chrome แต่ติดว่า Shadow detail มันดำไป ตัว Eterna มันจะสีคล้ายๆ Classic Chrome แต่ว่ามี Shadow detail ที่ดีกว่า ส่วนไฟล์ภาพจะมี noise และ Hot Pixel ที่ลดลงเวลาที่เราใช้ ISO สูงและเปิดรับแสงนานๆ เพราะการระบายความร้อนที่ดีขึ้น noise ก็จะลดลงด้วย ส่วนค่า Dynamic Range ปกติจะมีตั้ง 100-400% ก็จะเพิ่มโหมด D Range Priority ขึ้นมา ถ้าเราใช้ ISO 800 จะสามารถดึง Dynamic Range ส่วนสว่างได้สูงสุด เวลาเราถ่ายภาพด้วย AF-C โอกาศที่จะหลุดโฟกัสน้อยลงมาก แล้วเข้าโฟกัสมากขึ้นด้วย เวลาเราถ่ายภาพต่อเนื่องเร็วๆ ภาพมันจะเข้าโฟกัสมากขึ้น กล้อง Mirrorless ดีๆ ระบบโฟกัส Continuous เทียบชั้น DSLR ชั้นดีแล้ว FUJIFILM X-H1 ยังสามารถออโต้โฟกัส AF-C ในขณะที่เราซูมเลนส์ได้ด้วย

ระบบโฟกัสของ FUJIFILM X-H1 ก็ถูกปรับ Algorithm ทำงานใหม่จากเดิมที่โฟกัสได้ดีมากอยู่แล้ว ตอนนี้ดีขึ้นไปอีกระดับนึง มีการปรับ Algorithm ของ AF-C หรือ continuous focus ให้มีการทำงานถี่ขึ้น แล้วก็ตรวจจับได้แม่นยำมากขึ้น ไวขึ้น โฟกัสของ X-H1 ก็ใช้ Processor จนถึงขีดสุด สามารถทำงานได้ในที่แสงน้อยได้ถึง EV-1 และก็สามารถใช้ช่องรับแสงในขณะถ่ายภาพต่อเนื่องได้ถึง F11 สามารถจับโฟกัสได้ตลอดเวลา

ระบบ Algorithm มีการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อนข้างมาก โดยจุดโฟกัส 1 จุดแบ่งเป็น 5 พื้นที่ 1 พื้นที่จะแบ่งเป็นพื้นที่เป็น 4 ส่วน และใน 1 ส่วนนี้จะเก็บข้อมูล 3 ข้อมูล ทำให้ 1 จุดโฟกัสมีข้อมูลการคิดคำนวณทั้งหมด 60 ข้อมูล ในขณะที่รุ่นอื่น 1 จุดโฟกัสจะมี 5 พื้นที่ 5 ข้อมูลเท่านั้นเอง ดังนั้น FUJIFILM X-H1 จะเป็นกล้องที่โฟกัสได้เร็ว และแม่นยำ และดีที่สุดของ FUJIFILM ในขณะนี้ เราสามารถเลือกจุดโฟกัสผ่าน Touchscreen ที่ด้านหลังได้ และเราสามารถลากนิ้วเพื่อเลือกจุดโฟกัสได้ เลื่อนเปลี่ยนจุดโฟกัสได้ด้วย X-H1 นะครับ ยังคงมีจุดโฟกัสทั้งหมด 325 จุด เท่ากับตัว X-T2 แต่ว่าประสิทธิภาพในการโฟกัสสูงกว่า

จุดประสงค์ของการออก FUJIFILM X-H1 เพื่อระบบการถ่ายวิดีโอโดยเฉพาะ จึงมีการแยกระบบการทำงานของวิดีโอออกมาเป็นเมนูต่างหาก แล้วระบบสี ระบบ Dynamic Range และก็ระบบควบคุมการทำงานทุกอย่างที่เกี่ยวกับวิดีโอจะอยู่ในเมนูที่แยกออกมา FUJIFILM X-H1 สามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 4K ได้ 2 อัตราส่วนก็คือ 16:9 และ 17:9 โดย 17:9 เป็น FORMAT ของภาพยนตร์ที่เราเรียกว่า DCI ที่ 17:9 เราสามารถเลือก FRAME RATE สูงสุดได้ 24 เฟรมต่อวินาที ที่เรียกร้องกันมากก็คือระบบ F-Log ตอนนี้สามารถถ่ายลงการ์ดได้แล้วที่คุณภาพระดับ 200 Mbps 8 bit และก็เป็น Format 4:2:0 โดย FUJIFILM ก็จะมีค่า LUT สำหรับเกรดสีมาให้ด้วยใน website ระดับคุณภาพของวิดีโอถ้าบันทึกลงการ์ดจะเป็น FORMAT 4:2:0 8 BIT แต่ถ้า OUT PUT ออก HDMI เป็น 4:2:2 8 BIT สำหรับคนชอบ SLOW MOTION X-H1 สามารถถ่าย SLOW MOTION ได้ที่ FULL HD โดยมี FRAME RATE ที่ให้เลือก 120 เฟรมต่อวินาทีเราสามารถเล่น SLOW MOTION ระดับ 5 เท่า

ระบบโฟกัสมีการปรับเปลี่ยนที่ค่อนข้างมาก โดยระบบ AF-C TRACKING ทำงานได้ไวแม่นขึ้นแล้วก็ภายใต้แสงที่น้อยลง สามารถควบคุมระบบ AF-C TRACKING ได้ทั้งความไวต่อการเปลี่ยนแปลงจุดโฟกัสและก็ความสมูทของการหมุนเลนส์ ระบบ FACE DETECTION ฉลาดขึ้น ไวขึ้น แม่นขึ้น เวลาเราถ่ายวิดีโอที่เป็นภาพคน เราสามารถเปิด FACE DETECTION ได้ทำให้ถ่ายวิดีโอได้สะดวกขึ้น คุณภาพเสียงมีการอัพเกรด ไมค์ที่ตัวกล้องสามารถบันทึกเป็น Hi-res ได้แล้วโดยคุณภาพสูงสุดเท่ากับ 48kHz ที่ 24 bit เราสามารถที่จะคุมระดับเสียงของไมโครโฟน ตัดเสียงรบกวน ตัดเสียงลมได้ด้วย สามารถตั้ง Time Code ไป Sync เวลาที่เราตัดต่อวิดีโอ สามารถที่จะส่งสัญญาณวิดีโอออกมาผ่าน HDMI ได้ โดยขณะ record เราสามารถเลือกคุณภาพได้สูงสุด 4K และก่อนบันทึกวิดีโอเราจะส่งสัญญาณออกมาระดับ 4K ได้ด้วย สามารถที่จะทำ Live ด้วยคุณภาพ 4K ได้ด้วยกับ FUJIFILM X-H1

การควบคุมโทนแบบ Hilight, Shadow, Dynamic Range และก็ Color ยังมีให้ใช้งานและก็กว้างขึ้นเป็น -2, +4 สำหรับคนที่ชอบถ่ายซ้อน Scale Depth of fireld ก็จะมีแบบ Pixel Basis ซึ่งจะดูความชัดในระดับ Pixel ซึ่ง Scale Depth of field ของ FUJIFILM จะแม่นยำและเชื่อถือได้ วัดแสง คราวนี้จัดเต็มมา สามารถใช้งานได้ +/- 5 Stop ใครที่วัดแสง Spot และต้องการควบคุมโทนแบบ zone system หรือควบคุม Dynamic Range ของ Raw ไฟล์สามารถใช้ Scale วัดแสงที่ตัวกล้องได้แบบเต็ม Dynamic Range คือมาแบบ +/- 5 Stop เลย

ระดับน้ำมาแบบ GFX ก็คือมีทั้งแนวนอนและก็แนวตั้งสามารถตั้งการทำงานของปุ่มเช็คความชัดลึกและมี histogram แบบ RGB ด้วยแบบ GFX ใช้การ์ด SDXC USH-II 2 ใบ สามารถแยกเก็บ Raw Jpeg หรือภาพนิ่ง หรือวิดีโอ หรือให้เก็บต่อเนื่องก็คือ การ์ด 1 เต็มค่อยไปการ์ด 2 ก็ยังได้ หรือคนที่ถ่ายงานอาชีพก็ให้ตั้งเป็นการ์ด 1 เป็นไฟล์จริง การ์ด 2 เป็น Back up ก็ได้ ปุ่มการทำงานต่างๆ สามารถที่จะตั้ง Customize ให้ปุ่มไหนทำงานอะไรก็ได้ ซึ่งเราสามารถที่จะตั้งให้เข้ากับลักษณะการใช้งานของแต่ละคนได้

 ตัว BODY ของ X-H1 จะหนาขึ้น 25% ทำให้น้ำหนักของ BODY มากขึ้นด้วยจากน้ำหนัก 457 กรัม ใน X-T2 จะเปลี่ยนเป็น 623 กรัม ใน X-H1 จำนวนภาพที่ถ่ายภาพต่อเนื่องเวลาเราอยู่ที่โหมด CONTINUOUS-HI อย่างการถ่ายภาพกีฬา หรือที่ถ่ายภาพม้าแข่งจะอยู่ที่ 40 เฟรมต่อเนื่องกัน ส่วนแบตเตอรี่จะอยู่ที่ประมาณ 310 เฟรมเมื่อไม่มี GRIP และก็จะอยู่ที่ 900 เฟรมเมื่อมี GRIP

ตัวช่องมองภาพ EVF นอกจากถอยระยะให้ห่างขึ้นเพื่อให้เวลาที่เราเล็งแล้วแก้มไม่ไปโดนจอ LCD ด้านหลัง ยังมีการปรับหลายอย่างมากเลย อย่างแรกก็คืออัตราขยายเป็น 0.75 เท่า และก็ความละเอียด 3.7 ล้านพิกเซล ที่จะทำให้ภาพในช่องมองภาพ EVF มีความเนียน ความคมชัด และมีสีสันที่ดีขึ้น เวลาที่เราใช้ MANUAL FOCUS หรือว่าดูโฟกัส เราจะเห็นว่าเข้าหรือไม่เข้า อัตรา REFRESH RATE เป็น 100 ครั้งต่อวินาที ทำให้เราเห็นภาพเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่เกิดการกระตุก ส่วน DISPLAY LAG อยู่ที่ 0.005 วินาที หรือ 5 มิลลิวินาที ซึ่งถือว่าน้อยมากแล้วในตอนนี้ ความสว่างของ EVF จะอยู่ที่ 800 cd/ตารางเมตร แสงจะสว่างมากขึ้น ทำให้ภาพที่เห็นในช่องมองภาพมีความชัดเจนมากขึ้นด้วย และก็ความไวของ SENSOR ก็จะอยู่ที่ 0.15 วินาที เวลาที่เราเอาตาไปแตะทีตัว SENSOR ใช้เวลาเพียง 0.15 วินาที มันจะทำงาน อีกอันนึงก็คือ EYE SENSOR จะทำงานโดยเอาตาเข้าไปแนบ ถ้าเกิดเราใช้ TOUCHSCREEN EYE SENSOR จะไม่ทำงาน

พอได้ FUJIFILM X-H1 มา ผมรีบไปที่น้ำตกคลองลาน ซึ่งเป็นน้ำตกที่ใหญ่มากแล้วก็มีน้ำเยอะมาก สวยมาก เราไปครั้งที่ 3 ถึงจะประสบความสำเร็จในการถ่ายรูปน้ำตกคลองลาน ปัญหาของน้ำตกคลองลานก็คือ มีคนเยอะมาก แล้วก็ละอองน้ำเยอะมาก ทำให้น้ำซัดเข้ากล้องตลอด ผมถ่ายภาพเช้าจรดเย็น จนกล้องเปียกโชกไปหมดเช็ดกันหลายรอบ เวลาถ่ายก็มีใช้ฟิลเตอร์ PL ในการตัดแสงสะท้อนที่ใบไม้ และใช้ฟิลเตอร์ ND เพื่อลากน้ำ

ผมต้องจบภาพ JPG ให้ได้เพราะว่าไม่สามารถ Convert Raw file ได้ แล้วก็ไฟล์ JPG จะถูกส่งเป็นภาพตัวอย่างไปที่ญี่ปุ่น ดังนั้นต้องคอนโทรลทุกอย่างให้จบลงในตัวกล้องให้ได้ ใช้โหมด Velvia แล้วก็ดึงสี ดึงรายละเอียดส่วน Shadow, Dynamic Range กว้างกว่าตัว X-T2 ทำให้สามารถคุมภาพได้ง่าย โดยเฉพาะเวลาคุม Highlight โดยใช้ Dynamic Range 400% เวลาถ่ายรูปที่ระยะฉากหน้าใกล้มากๆ ความเป็น APS-C Size ทำให้ Depth of field ค่อนข้างเยอะ ก็สามารถถ่ายภาพเดียวจบได้คุ้มชัดลึกอยู่โดยไม่ต้องทำ Stack

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f11, 0.8 sec.

เราไปต่อที่ดอยอินทนนท์ในช่วงของปลายฝน ตอนเช้าที่จุดชมวิวทะเลหมอกไม่ค่อยสวยมากนัก ฟ้ายังไม่ค่อยเคลียร์ ผมเลยถ่ายภาพ Time-lapse ของเมฆเคลื่อนเอาไว้ X-H1 มีฟังชั่น Interval Time อยู่ในตัว เราสามารถที่จะใช้ฟังชั่นในตัวกล้อง จัดการกับ Interval Time ได้เลย แต่ว่าเราจะได้เป็นภาพนิ่งไม่ได้ต่อเป็น Movie เราไปเดินที่อ่างกาหลวงโชคดีมากเจอเห็ดเล็กๆ ซึ่งเล็กมาก ผมก็ใช้กล้อง FUJIFILM X-H1 กับเลนส์ FUJINON 80 mm. F2.8 Macro ตัวใหม่ที่เพิ่งออกมา โดยตอนถ่ายเน้นที่เห็ดกับ Bokeh ด้านหลังเป็นแสงลอดใบไม้ออกมา ใช้ฟังชั่นขยายโฟกัสที่ 100% ร่วมกับระบบ Auto Focus ผมใช้จุดโฟกัสเล็กสุดในการโฟกัสที่เห็ดแล้วก็บางทีก็โฟกัสที่ตัวแมลง

FUJIFILM X-H1 โฟกัสได้แม่นขึ้นกว่า FUJIFILM X-T2 เฉียบขาดขึ้น เวลาขยายภาพ 100% ก็ยังสามารถ Auto Focus ได้ ส่วนใหญ่ผมจะปรับไปที่แมนนวลแล้วก็กดปุ่ม AF-L ให้กล้อง Auto Focus แล้วก็ขยายภาพ 100% ดูความชัด จอที่พับได้ช่วยให้ทำงานสะดวกมากขึ้นเพราะว่าเราตั้งกล้องแทบจะติดพื้นเลย ผมต้องการเก็บด้านล่างของเห็ด ด้านบนจะเป็นภาพที่ชินตาอยู่แล้ว ด้านล่างจะสวยกว่า ในบ้างช่วงมันมีแสงอาทิตย์สาดมา เห็ดก็สว่างปิ๊งออกมาเหมือนเห็ดเรืองแสงเลย

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f8, 1/5 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f8, 1/40 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 400, f5.6, 1.3 sec.

ตอนกลางคืนลองถ่ายภาพดาวหมุนที่จุดชมวิว โดยใช้เลนส์ FUJINON 35 mm. F1.4 เก็บภาพดาว ผมตั้งกล้องประมาณ 2 นาที กล้อง FUJIFILM X-H1 มี Noise แล้วก็ Hot pixel ที่ดีขึ้นจาก FUJIFILM X-T2 เวลาเราเปิดรับแสงนานๆ ใช้ ISO สูงหรือว่าถ่ายดาว จะเห็นได้ชัดว่า ตัว Hot pixel กับ Noise ลดลง ซึ่งอันนี้น่าจะมีการระบายความร้อนที่ดีขึ้นของตัวกล้อง FUJIFILM X-H1

ปฏิบัติการตามหาทะเลหมอกไม่จบ เราไปที่บ้านจ่าโบ่เพื่อไปถ่ายทะเลหมอก คราวนี้ได้สมใจมีทะเลหมอกยามเช้า แล้วก็ได้พระอาทิตย์ขึ้นมาด้วย ผมถ่ายภาพตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ลากชัตเตอร์ 30 วินาที ที่ ISO 200 ภาพยังเนียนกริ๊ปไม่มี Hot pixel หรือ Noise มารบกวน ส่วนดีเทลสบายมากนะครับ Dynamic Range ของกล้อง FUJIFILM X-H1 สามารถเอาอยู่ได้สบาย

มาแม่ฮ่องสอนทั้งที ผมอดไม่ได้ที่จะแวะถ้ำน้ำลอด ไปรอบนี้น้ำเพิ่งลดลงไป ด้านในถ้ำน้ำท่วมหมด แต่จะสวยมากเวลาที่เราถือตะเกียงเดินจะเกิดเส้นแสง และยังได้เห็นแสงสะท้อนผนังของถ้ำตามแอ่งน้ำขังด้วยนะครับ

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f8, 120 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 640, f2.5, 1/40 sec.

ผมกลับกรุงเทพแวะถ่ายภาพดงตาลที่ปทุมหลังโชว์รูมนิสสัน ได้แสงสะท้อนเมฆยามเช้า เสียดายนิดนึงตรงที่ว่าฟ้าระเบิดไม่สวย ฟ้าค่อยข้างจะสีทึมๆ สีสันค่อยข้างแย่ แต่ว่าก็ใช้ White Balance แบบปรับตั้งเอง แล้วก็ชิพสีเป็นม่วงแดงนิดนึง ใช้โหมด Velvia บวกสีเพิ่ม Contrast บวก Shadow บวก Highlight ขึ้นไปเพื่อให้ภาพมันดูจัดจ้านแล้วก็มี Contrast มีมิติมากขึ้น

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f8, 8 sec.

แวะไปทุ่งทานตะวันที่ลพบุรีตรงวัดเขาจีนแล ซึ่งทานตะวันบานแบบ 100% พอดี ตอนถ่ายมันเล่นยากตรงผมถ่ายใกล้ แล้วก็ลมพัดแรงมาก ดอกทานตะวันเคลื่อนห่างเป็นฟุตเลย เราไม่สามารถที่จะโฟกัสแล้วก็ถ่ายได้ เพราะว่าพอเราโฟกัสชัดปุ๊ปดอกทานตะวันก็เคลื่อนออกแหละทำให้ถ่ายออกมาไม่ชัด แล้วการถ่ายใกล้แบบนี้ Depth of field ไม่ได้เยอะอยู่แล้ว ผมเลยต้องเปลี่ยนมาเป็นโหมดโฟกัส Continuous แบบ Zone ตั้งเอาไว้ที่ดอกทานตะวัน ใช้เลนส์ FUJINON 10-24 mm. F4 R OIS

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f6.4, 1/400 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f11, 25 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f11, 20 sec.

ผมไปที่ถ้ำใหญ่น้ำหนาว ไม่ได้มาถ้ำนี้นานมาก อยากจะปีนไปที่ด้านบนเพื่อถ่ายรูป ผมตั้งกล้องอยู่ด้านบนของถ้ำ แล้ววิ่งลงไปด้านล่างเอาไฟฉายส่องมาที่กล้องหน่อย เพื่อให้เกิดเป็นจุดสนใจขึ้นมา เวลาอัดขยายภาพนี้จะสะใจมาก เราดูรูปใหญ่จะเห็นรายละเอียดแบบยิบๆๆ เลยนะครับ ผมใช้ ISO 800 จนถึง ISO 1000 ในการถ่ายรูป เพราะว่าตัวเองจะเคลื่อนต้องการให้ตัวเองมีความคมชัด ปกติจะใช้ประมาณ ISO 200 ซึ่งซัตเตอร์จะนานอยู่ประมาณ 30 วินาที ซึ่งไม่สามารถยืนนิ่งๆ ได้ จำเป็นที่จะต้องใช้ ISO สูงภาพ ภาพที่ได้ออกมายังเนียนกริ๊ป ความคมชัดดีมากด้วย

FUJIFILM X-H1 – ISO 800, f7.1, 4 sec.

ปีที่แล้วผมอดขึ้นดอยหลวงเชียงดาว ปีนี้เลยเป็นโอกาสดีเอา FUJIFILM X-H1 ขึ้นไปดอยหลวงเชียงดาวด้วย ก็จัดเต็มไปทั้งตัวกล้องและก็เลนส์ ใครขึ้นเชียงดาวจะรู้ว่ามันค่อยข้างเหนื่อยแล้วก็หนัก ถ้าขนอุปกรณ์ไปเยอะมาก กล้องตัวใหญ่มากก็เหนื่อยสาหัสอยู่เหมือนกัน วันแรกโชคดีมากไปถึงได้แสงสาดที่ยอดดอยสามพี่น้อง แต่ว่า Contrast จัดมาก ผมต้องใช้ฟังชั่น Highlight -2, Shadow -2 แล้วก็บวก Color โหมด Velvia ใช้ White balance มาช่วยด้วย ในการดึงรายละเอียด และยังให้ภาพสีสันจัดจ้าน อันนี้เป็นมุขประจำที่ใช้ มีบางจุดที่เราใช้ FUJINON 80 F2.8 Macro ถ่ายวิว อย่างเช่นภาพพระอาทิตย์ขึ้นทางฝั่งตรงข้ามของยอดดอยสามพี่น้อง ก็จะมีทะเลหมอกไหลเอื้อยๆ มา ตรงจุดนี้ผมให้ฉากหน้าเป็นแนวเขาสีดำ แล้วก็ด้านหลังแนวเขาที่ไกลออกไปก็จะดูฝ้าๆ เกิดมิตินิดนึง ถ้า Convert ไฟล์ Raw เมื่อไหร่ได้ภาพนี้น่าจะดีขึ้นอีกเยอะเลย 

ตอนกลางคืนเราก็ถ่ายดาวกัน พอดีเป็นช่วงพระจันทร์เต็มดวงดาวเลยไม่อลังการเท่าไหร่ แต่ว่าได้วิวกับแสงจันทร์ด้วย ถ่ายที่ชัตเตอร์นาน 2 นาทีนะครับ แล้วก็เปิด Noise Reduction, Long exposure noise reduction เอาไว้ ได้ไฟล์เนียนกริ๊ป ภาพคมชัด ถ่ายออกมานึกว่ากลางวันถ้าไม่เห็นดาว

แวะไปถ่ายภาพกล้วยไม้รองเท้านารีที่อินทนนท์ ปกติต้องพกขาตั้งกล้องไปด้วย รอบนี้ใช้ FUJIFILM X-H1 กับเลนส์ FUJINON 80 mm. Macro ถ่ายสบายเลยครับ มีลมพัดเอื้อยๆ มา ผมใช้โฟกัสแบบ Continuous AF-C เปิดกันสั่นทั้งตัวกล้องและตัวเลนส์ กันสั่นทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี สามารถถ่ายนิ่งๆ โดยไม่ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงเพียงรอจังหวะลมเบาๆ หน่อย ใช้โหมด AF-C ช่วยให้โฟกัสตามได้ตลอดเวลา ในบางทีตัวเราเขยื้อนโฟกัสก็ตามจิกตลอด กล้อง FUJIFILM X-H1 เวลาใช้กับ FUJINON 80 Macro แล้วถ่ายภาพ Macro นี่เวิร์คมากครับ

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f11, 100 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 1600, f2, 30 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 800, f4.8, 1/4000 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 100, f11, 1/8 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f14, 1/400 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f11, 1/6 sec.

FUJIFILM X-H1 เป็นกล้องที่เน้นการถ่ายวิดีโอ การถ่ายภาพเคลื่อนไหวแบบความเร็วสูง จะลองทั้งทีวันนี้ผมเลยมาถ่ายม้าที่เวโรน่าเพราะว่ามาถ่ายบ่อย แล้วก็ม้าสวย ถ่ายจนสนิทกับคนขี่ม้าแหละ ตอนถ่ายม้านานเกือบชั่วโมงแบตหมดไปหนึ่งก้อน ผมให้โหมดโฟกัสแบบ Continuous ในการถ่ายรูปม้าวิ่ง จุดเด่นของกล้อง FUJIFILM X-H1 คือระบบโฟกัสถูกอัพเกรดการทำงาน Algorithm และความเร็วในการอ่านข้อมูล ภาพที่ได้เข้าเป้ามากกว่า 70% แน่ๆ บางทีก็เข้าเป้าหมดเลย จะมีบางจังหวะที่ม้าวิ่งพลิกกลับตัว ซึ่งอาจจะมีหลุดบ้างนิดนึงแล้วก็กลับเข้ามาเข้าเป้าใหม่ เพราะงั้นอัตราการประสบความสำเร็จของ X-H1 เมื่อเทียบกับ X-T2 มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เป็นกล้องที่ต้องบอกว่า ถ้าคุณจะถ่ายภาพเคลื่อนไหว ตัวนี้คือ First choice ที่เหนือกว่าตัว X-T2 ระบบลดการสั่นไหวเมื่อใช้กับเลนส์ FUJINON 100-400 ได้ภาพนิ่งมาก แล้วก็เวลาเราแพนกล้อง ไม่มีกระตุกแบบกึ๊งๆๆ กล้องกับเลนส์ทำงานร่วมกันได้อย่างดี ระบบของตัวกล้องมีความฉลาดเวลาเราแพนไม่ต้องมาปรับโหมดแบบแพนหรือแบบภาพปกติ กล้องสามารถจัดการเองได้เลย

กล้อง FUJIFILM X-H1 จุดเด่นเลยที่ผมคิดว่าหลายคนที่ให้ความสนใจ FUJIFILM X-H1 น่าจะมองประเด็นนี้ก็คือ ระบบลดการสั่นไหวของกล้อง ซึ่งเวลาที่เราถ่ายรูปโดยใช้เลนส์ที่ไม่มีระบบลดการสั่นไหวอย่างเช่นตอนนี้ผมถ่ายด้วยเลนส์ 35 F1.4 หรือว่า 56 F1.2, 90 F2 พอใช้งานร่วมกับกล้อง FUJIFILM X-H1 จะเท่ากับเลนส์มีระบบลดการสั่นไหวเลย ใครที่ใช้ฟูจิแล้วรู้สึกว่าเวลาใช้เลนส์ Telephoto อย่างตัว 90 F2 แล้วชอบความคมของเลนส์ ชอบคุณภาพของเลนส์ แต่ว่าไม่สามารถคุมให้นิ่งได้ ภาพมันสั่นทุกที คราวนี้สมใจแล้วนะครับเพราะว่ามีกันสั่นที่กล้องเข้ามาช่วยก็จะสามารถที่จะใช้เลนส์ตัวเทพๆ ของฟูจิได้ครบทั้งหมด แล้วก็จะดึงคุณภาพของไฟล์ภาพได้เต็มที่ด้วย หลายคนที่ถ้ารอกันสั่นของฟูจิอยู่ ตัวนี้จัดเต็มมาแบบสเปคเทพให้ภาพที่ดีมากขึ้นอีกด้วย

FUJIFILM X-H1 – ISO 800, f4.8, 1/4000 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f1.6, 1/8000 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f4, 1/1250 sec.

FUJIFILM X-H1 – ISO 200, f1.6, 1/250 sec.

หลังจากที่ได้ใช้กล้อง FUJIFILM X-H1 มาระยะเวลาประมาณ 4 เดือน 4 ตัวนะครับ ถ้าถามว่า FUJIFILM X-H1 จุดเด่นอยู่ที่ไหน จุดเด่นอยู่ที่การควบคุม ตัวกล้องที่ใหญ่ขึ้นทำให้จับถนัดขึ้น แล้วก็ที่สำคัญมีระบบลดการสั่นไหวในกล้องที่มีความเยี่ยมยอดมากในการใช้งานจริง ทำให้เราสามารถที่จะใช้เลนส์ฟูจิทุกตัวเป็นระบบลดการสั่นไหวได้ ใครที่รอระบบการลดสั่นไหวที่เซนเซอร์ของฟูจิ คราวนี้สมหวังแน่นอนนะครับ ตัวโหมดวิดีโอทำงานได้ดีมาก ภาพวิดีโอของฟูจิคมกริ๊ปรายละเอียดดีมาก คุณภาพสีของวิดีโอสามารถจบหลังกล้องแบบไม่ต้องเกรดดิงเลย ในส่วนของภาพนิ่งก็เนียนขึ้นกว่า X-T2 นะครับ