เรื่อง+ภาพ : Bronco SL3

กล้อง Mirrorless ไม่ได้เป็นแค่กระแสอีกต่อไป แต่มันคือตัวเปลี่ยนเกมในวงการถ่ายภาพจากกล้อง SLR ที่ครองตลาดยาวนานหลายสิบปีจากยุคฟิล์มจนถึงยุค Digital กลายเป็นสิ่งที่ใครไม่ทำจะตกขบวนไปในที่สุด Canon ในฐานะของเบอร์ 1 ในวงการถ่ายภาพก็ร่วมขบวนไปกับเขาด้วยเช่นกัน ถึงจะไม่ประสบความสำเร็จมากนักกับ EOS M รุ่นก่อนหน้า แต่ EOS M5 จะเป็นกล้องที่ Canon ยกให้เป็นกล้องหลักในการต่อสู้กับคู่แข่งที่มีมากมายอย่างเหลือเกิน เรามาดูกันว่า EOS M5 มีข้อดีข้อด้อยอย่างไรกันดีกว่านะครับ

จุดเด่นของ Canon EOS M5

  • เซ็นเซอร์ CMOS ความละเอียด 24.2 ล้านพิกเซล พร้อมระบบ Dual Pixel AF ยกจากกล้องรุ่นใหม่ EOS 80D
  • มีช่องมองภาพ EVF ความละเอียด 2.36 ล้านพิกเซลในตัว
  • จอ LCD หลังกล้องขนาด 3 นิ้ว ความละเอียดสูงถึง 1.62 ล้านพิกเซลพลิกก้มเงยและพลิกกับมาถ่ายตัวเองได้
  • มีระบบกันสั่นแบบอีเลคโทรนิคส์ 5 แกน เมื่อใช้กับเลนส์ที่มีระบบ IS เมื่อใช้งานในการถ่ายวิดีโอ
  • ความเร็วในการถ่ายภาพสูงต่อเนื่องถึง 7 ภาพต่อวินาที หรือ 9 ภาพต่อวินาที เมื่อล็อคระยะโฟกัสและล็อคค่าแสงจากเฟรมแรก
  • ระบบประมวลผลภาพ Digic 7
  • ถึงพร้อมการเชื่อมต่อทั้ง Wifi NFC และ Bluetooth low power

 

การออกแบบ

ต้องบอกว่าตั้งแต่ Canon ออกแบบกล้องตระกูล EOS M มา ก็มี EOS M5 นี่แหละครับ ที่ดูเป็นกล้องสำหรับนักถ่ายภาพที่จริงจัง เนื่องจากเป็นตัวแรกที่มี EVF Built in มาเรียบร้อย ตัวกล้องแม้จะมองเผินๆ ว่าเหมือนเอา EOS M3 มาใส่ EVF Built in เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว Canon ปรับดีไซน์มากกว่านั้นมาก ตัวกล้องของ M5 มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยในทุกส่วนกริปจับตัวกล้องแม้จะคล้ายกันแต่ก็หนา และจับได้ถนัดกว่ามากและ Canon ยังปรับตำแหน่งของแป้นต่างๆ ด้านบนตัวกล้องเสียใหม่ได้อย่างลงตัว โดยย้ายแป้นปรับระบบไปอยู่ทางซ้ายมือของตัวกล้อง ย้ายแฟลชป๊อบอัพขึ้นไปอยู่บน EVF เหมือนกล้อง DSLR ทั่วไป และตำแหน่งแป้นปรับระบบเดิมได้เพิ่มแป้นสั่งระบบการทำงานต่างๆ ล้อมรอบปุ่มกด Custom Dial เพื่อเลือกคำสั่งที่ใช้งานบ่อยๆ มาใช้งานได้ทันทีถึง 2 อย่าง เมื่อรวมกับแป้นปรับที่ล้อมรอบปุ่มชัตเตอร์ แป้นปรับชดเชยแสง และแป้นหมุนปรับค่าด้านหลังตัวกล้องแล้ว ทำให้ M5 มีความสะดวกในการทำงานมากครับ ส่วนด้านหลังของตัวกล้องก็มีการปรับตำแหน่งของปุ่มต่างๆ เสียใหม่ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน

จอ LCD ก็เป็นอีก 1 จุดที่น่าสนใจ จากเดิมที่เป็นจอ LCD ขนาด 3 นิ้ว แบบทัชสกรีนความละเอียด 1 ล้านพิกเซล ที่สามารถพลิกจอทั้งมุมสูงและมุมต่ำ รวมถึงการพลิกหน้าจอกลับมาถ่ายตัวเองได้ กลายเป็นจอ LCD ขนาด 3 นิ้ว แบบทัชสกรีนเช่นเดิม แต่เพิ่มความละเอียดไปเป็น 1.6 ล้านพิกเซล ให้ความคมชัดที่ดีกว่า และเพิ่มความสามารถในการเลือกกรอบโฟกัสที่ทัชสกรีนได้แม้ว่าตาจะแนบช่องมองภาพอีกด้วย และการที่ EOS M5 มี EVF ติดตาย การพลิกจอเพื่อถ่ายตัวเองหรือเซลฟี่โดยพลิกจอขึ้นด้านบนแบบ EOS M3 ย่อมทำไม่ได้ EOS M5 ใช้การพลิกจอกลับลงมาทางด้านล่างแทน ซึ่งก็ใช้งานได้ดีในระดับหนึ่ง

ระบบโฟกัส

ตั้งแต่เปิดตัว EOS M เข้าสู่ตลาดในปี 2012 นั้น ความเร็วและความแม่นยำของการหาโฟกัสนั้นนับเป็นจุดอ่อนของกล้องตระกูลนี้เลยทีเดียว เนื่องจากการความเร็วในการหาโฟกัสที่ไม่รวดเร็วนัก และตอบสนองการทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งการปรับปรุงทั้งใน EOS M3 และ M10 ที่ใช้ระบบ Hybrid CMOS AF III ที่ยกมาจาก Canon EOS 760D ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ดีพอเมื่อเทียบกับคู่แข่งในท้องตลาด

Canon จึงปรับระบบการหาโฟกัสของตัวเองใหม่อีกครั้งใน EOS M5 ด้วยการใช้ระบบการหาโฟกัสแบบ Dual Pixel AF ที่มีต้นกำเนิดมาจาก Canon EOS C และ EOS 70D โดยที่แต่ละพิกเซลจะมีชุดหาโฟกัสแบบ Phase detection ร่วมอยู่ด้วย (กินพื้นที่ 80 เปอร์เซ็นต์บนเซ็นเซอร์) ซึ่งจะทำให้กล้องสามารถโฟกัสได้ดีไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพนิ่งหรือวิดิโอ โฟกัสวัดถุที่อยู่นิ่ง หรือมีการเคลื่อนที่ทั้งสม่ำเสมอและไม่สม่ำเสมอได้อย่างมีประสิทธิภาพ โฟกัสในที่แสงน้อยได้ดีกว่าเดิม และให้ความนุ่มนวลเมื่อเปลี่ยนตำแหน่งโฟกัสไปยังจุดต่างๆ บนช่องมองภาพ และถ้าเล็งภาพด้วยจอ EVF เรายังสามารถแตะที่จอ LCD หลังกล้องเพื่อเลือกกรอบโฟกัสได้ทันทีและตลอดเวลา ให้ความคล่องตัวในการทำงานสูงขึ้นอีกครับ

 

ระบบการทำงาน

EOS M5 ให้ระบบการถ่ายภาพมาอย่างครบถ้วนเหมือนกับกล้อง Canon EOS M3 นั่นคือระบบการถ่ายภาพ  P Tv Av M ครบ โปรแกรมแบบ Full auto และ Picture Program ครบเช่นกัน และเพิ่มเติมด้วยโปรแกรม Hybride auto mode ที่จะถ่ายภาพเคลื่อนไหวก่อนจะกดชัตเตอร์เล็กน้อยและรวมภาพทั้งหมดเป็นคลิปให้ สามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุดถึง Full HD 60P ใน format MP4 และยังมีระบบป้องกันการสั่นไหวของภาพแบบ 5 แกนเมื่อใช้กับเลนส์ที่มีระบบ IS และใช้ถ่ายวิดีโอเท่านั้น

ผลการทดลองใช้งาน

ผมได้รับกล้องมาลองใช้งานราวๆ 5 วัน จากร้านโฟโต้ไฟล์ มาบุญครองชั้นล่าง โดยได้ชุดเลนส์ 18-150 และยังมีเลนส์ 28/3.5 Macro กับ 22/2 และได้ทดลองใช้ Adaptor EF-EFM โดยใช้กับเลนส์ EF 50/1.4 USM อีกด้วย โดยไม่ได้ไปไหนไกลนัก เดินถ่ายในเมืองช่วงก่อนสงกรานต์เล็กน้อย ผลการลองใช้จะเป็นอย่างไรเรามาดูกันครับ

 

ตัวกล้องและการจับถือ

แรกสุดเลย คือบอดี้ดูเล็กกว่าที่เป็นจริงมาก ดูป้อมๆ ตันๆ น่ารักเมื่อเทียบกับกล้อง MRL ที่มีรูปทรงเป็นแบบกล้อง DSLR แบบ Retro แต่พอวัดขนาดแล้วก็อึ้งเพราะไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่เลย จะหนากว่านิดๆ ด้วยซ้ำนะครับ กริปจับได้ถนัดกว่ากล้องทรง DSLR แบบ Retro มากเพราะค่อนข้างหนา แต่ตัวกริปสั้นไปนิดนึง จะติดกริปเสริมก็ไม่ได้เพราะจะไปบังจอ LCD เวลาจะเซลฟี่นะครับ 

ตำแหน่งของปุ่มกดชัตเตอร์ แป้นหมุนด้านหน้าและหลังรวมถึงแป้นชดเชยแสงวางได้พอเหมาะพอดีสำหรับคนมือเล็ก กดง่าย บิดง่าย ควบคุมง่าย โดยเฉพาะการใช้ปุ่ม Cust dial ที่ค่า Default เป็นการเลือก ISO หรือ WB และหมุนแป้นหลังเพื่อปรับตั้งค่า ทำให้ควบคุมกล้องได้สะดวกมากตอนที่ตาแนบจอ EVF และปุ่ม M.FN ที่อยู่ด้านข้างปุ่มชัตเตอร์ผมเซ็ทเป็นการตั้ง Picture Style คราวนี้เวลาที่ตาแนบกล้องผมสามารถตั้งทั้งชดเชยแสง ค่าสี WB ISO ได้ทั้งหมดโดยแทบจะไม่ต้องละสายตามาเข้าปุ่ม Q Menu อีกเลย อันนี้ชอบมากครับ

จอ LCD 3.2 นิ้ว ที่มีความละเอียดสูงก็ให้รายละเอียดและสีที่ดีมากกลไกในการพับจอ กระดกจอมุมสูงหรือต่ำแน่นหนาดี พลิกจอมาข้างหน้าก็ยังได้ ระบบทัชสกรีนก็ทำงานได้ดี แตะโดยใช้น้ำหนักไม่มากก็ทำงานแล้ว ซูมภาพ ดูภาพ เลื่อนภาพได้นุ่มนวล และ Canon ทำทัชสกรีนได้ดีมากคือนอกจากเอาไว้เลือกกรอบโฟกัสแล้ว Canon ยังใช้ทัชสกรีนในการตั้งเมนูต่างๆ ไม่ว่าจะใน Quick Menu หรือใน Menu ปกติด้วย ซึ่งกล้องที่มีทัชสกรีนหลายๆ ตัวทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ แต่ระบบการพลิกหน้าจอลงมาทางด้านล่างเพื่อถ่ายเซลฟี่นั้น ถึงแม้ว่าจะเห็นหน้าผู้ถ่ายและเซลฟี่ได้ตามปกติก็จริง แต่ถ้ากล้องอยู่บนขาตั้งหรือวางบนพื้น มันจะพลิกจอมาถ่ายตัวเองไม่ได้เลย ซึ่งเหล่า Vlogger ที่ทำ Video Review สินค้าแบบเห็นหน้าทั้งหลายจะทำงานลำบากมากแน่นอน ถ้าเป็นจอพับออกข้างแบบเดิมจะไม่มีปัญหานี้นะครับ

ระบบโฟกัสและความเร็วในการทำงาน

ระบบโฟกัสของ EOS M5 ต้องบอกว่าดีขึ้นกว่าเดิมมาก เร็วขึ้น นุ่มนวล ไม่ยึกยัก (มากนัก) และแม่นยำกว่าเดิมแบบพอรู้สึก เสียดายที่กรอบโฟกัสมีขนาดกว้างไปนิดหนึ่งแม้จะปรับให้เล็กสุดแล้ว และผมมีโอกาสลองใช้กับเลนส์ EF 50/1.4 USM โดยใช้ร่วมกับ Adaptor ก็ให้ผลที่เรียกได้ว่าดีมาก ความเร็วในการโฟกัสช้าและยึกยักกว่าเลนส์ EF-M เองที่เป็น STM Motor เล็กน้อย แต่โฟกัสเข้าได้ง่าย ง่ายกว่าใช้เลนส์ตัวนี้กับกล้อง DSLR ของ Canon อย่างพวก 6D เองด้วย นี่คือประสิทธิภาพของระบบ Dual Pixel AF ของ EOS M5 ครับ

ความเร็วในการทำงานของกล้อง ในระบบ AF อย่างที่กล่าวไปแล้วคือดีกว่าเดิมมาก ส่วนที่เหลือนั้น ไม่ว่าจะเวลาที่กล้องพร้อมทำงานเมื่อเปิดสวิทช์ เมื่อกดชัตเตอร์แล้วกล้องลั่นชัตเตอร์ ช่วงเวลา Black out ของช่องมองภาพหรือจอ LCD เมื่อกล้องบันทึกภาพ ผมมีความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังใช้กล้อง DSLR ประมาณ 760D ของ Canon มากกว่ากล้อง Mirrorless คือมันไม่ได้เร็วจัดแบบยี่ห้ออื่นแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร การ Black out ใน EVF ให้ความรู้สึกเหมือนกระจกสะท้อนภาพตีขึ้นมาปิดวิวฟายเดอร์มาก จะมีติดๆ นิดเดียวคือเวลาที่ถ่ายแบบ Single แต่กดชัตเตอร์แบบรัวๆ กล้องจะมีช่วงแล็คมากไปสักนิดนึง ไม่ติดนิ้วเท่าไหร่ครับ แต่ถ้าไปใช้เป็น C หรือ CH ไปเลยอันนี้ไม่ใช่ปัญหา รัวแบบดักโฟกัสได้ถึง 7 ภาพต่อวินาทีเลยทีเดียว

ไฟล์ภาพและการใช้พลังงาน

ผมลองถ่ายกับโดยเซ็ทกล้องในแบบที่ชอบคือใช้ Picture style แบบ STD หรือ Faithful และปรับ Parameter ใน Picture Style นิดหน่อย ทำให้พบว่า M5 เพิ่มเมนูในการปรับ Picture style ที่เน้นปรับความคมได้มากถึงสามรูปแบบ ทั้ง

  • Sharpen คือความคมทั้งหมด
  • Fineness คือความคมในส่วนขอบของวัตถุ
  • Threshold คือการปรับคอนทราสของส่วนที่ชัดและส่วนที่ไม่ชัด

ซึ่งมีผลทำให้ภาพของ M5 คมกระจ่างขึ้นมากกว่าในกล้อง EOS ตระกูล xxxD อย่างชัดเจน และเมื่อนำไปใช้งานจริงในระบบการถ่ายภาพแบบ Tv และ Av ร่วมกับระบบวัดแสงแบบ Evaluative และดูจอ EVF ด้านหลังกล้องเพิ่มด้วย ผลที่ได้จะแปรเปลี่ยนไปตามเลนส์ที่ใช้บ้าง แต่ที่แน่ๆ คือไฟล์ของ EOS M5 ให้ความคมชัดได้ดีมาก โดยเลนส์ที่ความคมชัดที่ดีที่สุดคือ EF-M 22/2 ซึ่งผลิตออกมาก่อนใคร แต่ให้ความคมแบบคมกริบชนิดขอบยันขอบที่รูรับแสงกว้างสุด มีอาการขอบภาพมืดนิดหน่อยเมื่อเปิดช่องรับแสงกว้าง แต่หรี่ช่องรับแสงนิดเดียวก็ดีขึ้นมาก 28/3.5 Macro ก็ทำงานได้สมกับความเป็นเลนส์มาโคร และยังมี Led Light ในตัวด้วย ซึ่งจะเหมาะกับทันตแพทย์เวลาถ่ายภาพโคลสอัพในช่องปากเป็นอย่างยิ่ง และ 18-150 ซูมครอบจักรวาลขนาดกะทัดรัดมาก คุณภาพอาจจะด้อยลงเล็กน้อยที่ช่วงเกิน 100 มม. ไปบ้าง แต่สิ่งที่มันทำได้เมื่อเทียบกับขนาดน้ำหนักและราคาแล้วถือว่าดีมากครับ เรื่องความคลาดสีไม่มีให้เห็นเลยสำหรับเลนส์ EF-M ทุกตัว แต่อาจจะมีความเบลอฟุ้งและสีเหลื่อม (Vignette) ที่เอฟกว้างสุดเมื่อใช้กับเลนส์ EF 50/1.4 USM โดยผ่าน Adaptor ของ Canon เองนะครับ เรื่องความคมนี่ส่วนตัวผมเองรู้สึกว่ามันคมกว่าเลนส์ EF-s เองเสียด้วยซ้ำไป ส่วนเรื่องสีสันของภาพนั้น EOS M5 ให้การไล่โทนสี ความอิ่มตัวของสีได้เหมือนกับกล้องของ Canon เองทุกรุ่น นั่นหมายถึงผู้ที่ชื่นชอบการให้สีของ Canon จะสบายใจและคาดหวังได้ว่าไม่ต้องปรับตัวในการทำงานกันอย่างแน่นอน

แต่สิ่งที่อยากให้ Canon มีการปรับปรุงสักหน่อยก็คือ อยากให้เพิ่มการปรับแก้ความผิดพลาดของภาพที่มีอยู่ให้ทำงานได้ละเอียดและสอดคล้องกันมากขึ้น เพราะตอนนี้ Canon ยังคงใช้ Hilight Tone Priority เพื่อปรับส่วนสว่างไม่ให้ขาวจนเกินไป และใช้ Auto Lighting Optimizer เพื่อเพิ่มรายละเอียดส่วนเงาของภาพ ทั้งสองระบบนี้ดีจริงและมีประโยชน์ แต่ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นไม่สามารถเปิดพร้อมกันได้ ในขณะที่กล้องยี่ห้ออื่นในท้องตลาดต่างสามารถปรับทั้ง Hilight และ Shadows รวมถึง Dynamic range ได้อย่างอิสระ บางยี่ห้อถึงขั้นสามารถปรับส่วนของ Midtone ได้ด้วย ทำให้ความสามารถในการปรับภาพให้ได้ดังใจจะด้อยกว่าคนอื่นอยู่บ้างครับ ถ้าปรับให้ทำงานร่วมกันได้จะสนุกขึ้นอีกเยอะเลย เพราะถึงแม้ EOS M5 จะมีคำสั่งปรับแก้ไฟล์ RAW ได้จากตัวกล้องก็ตาม แต่ก็ยังแก้ปัญหาเรื่องทำงานสองอย่างรวมกันไม่ได้ครับ

ส่วนไฟล์ภาพและสัญญาณรบกวนนั้น EOS M5 ทำได้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ใช้เซ็นเซอร์ขนาดพอๆ กัน และดีกว่ากลุ่มที่ใช้เซ็นเซอร์เล็กกว่าอยู่บ้าง โดยทั่วๆ ไปในสภาพแสงกลางวันที่ใช้ ISO ไม่สูงนั้นไม่ต้องกังวลเลย ภาพที่ได้ใส เคลียร์ สีสวยมาก ความคมก็อย่างที่บอกคือแปรไปตามเลนส์ที่ใช้แต่ก็ยังเรียกได้ว่าคมชัดดีมากอยู่ ไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย ส่วนเวลาแสงน้อยๆ ถ้าใช้ Picture style แบบ Landscape และปรับความสีไว้ค่อนข้างแรงอาจจะเห็น Color Noise ได้ง่ายกว่าปกติอยู่บ้าง เมื่อขยายที่ 100% ที่ ISO 400-1600 แต่ถ้าใช้ Picture style แบบปกติ ภาพจะเนียนกว่าพอสมควร และ M5 ยังสามารถใช้ความไวแสงที่ให้ผลดีได้ถึงระดับ ISO 3200-4000 โดยถ้าสูงกว่านั้น จะเห็นผลของ NR ชัดขึ้นและความบริสุทธิ์ของสีลดลงไปบ้างครับ แต่ก็ยังใช้งานได้ในระดับที่น่าพอใจ

ในด้านการใช้พลังงาน EOS M5 ใช้แบตเตอรี่ LP-E17 ที่มีขนาดและความจุไม่มากนัก โดย Canon เคลมว่าใช้ได้ราวๆ 295 ภาพ ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลางค่อนไปทางน้อย ในการใช้งานจริงผมถ่ายไปราวๆ 300 ภาพ และโยนไฟล์ผ่านทาง Wifi เข้าโทรศัพท์ไปอีกราว 30 ภาพกล้องก็ยังสามารถถ่ายได้อยู่ ซึ่งนับว่า Canon ทำได้ตามสเปค แต่อย่างไรก็ตาม แนะนำให้มีแบตสำรองติดตัวไว้เวลาไปไหนมาไหนอีกอย่างน้อย 1 ก้อนจะเป็นการดีครับ

สรุป

ผมใช้ EOS M5 มาสี่ห้าวันจนผมมีความคิดว่า หรือ Canon จะออกแบบให้กล้องตระกูล EOS M ทั้งหลาย โดยเฉพาะ EOS M5 เป็นกล้อง Mirrorless แบบ Play safe สำหรับคนใช้ Canon DSLR มาก่อน แต่อยากได้กล้องที่มีขนาดเล็กลงกว่า DSLR ของตัวเอง อยากใช้กล้อง Mirrorless เนื่องจากได้ประโยชน์จากการมองเห็นผลของภาพได้ก่อนจะกดชัตเตอร์ อยากได้เลนส์คุณภาพดีในขนาดที่กะทัดรัดมาก หรือจะเอาเลนส์เก่าที่มีมาใช้ได้แบบเต็มระบบสุดๆ โดยผ่าน Adaptor และชื่นชอบในลักษณะของไฟล์ภาพที่ได้จากกล้อง Canon ที่ตัวเองใช้ ซึ่งถ้าคุณเป็นคนที่เข้าเกณฑ์แบบนี้ EOS M5 เป็นกล้องที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งครับ