เรื่อง : eyejung, ภาพ : ทีม Camerart

บทความนี้มาจาก Camerart Magazine ฉบับ 239/2017 August

สนับสนุนโดย

กิจกรรมของ eyejung แน่นเอียดทุกอาทิตย์ อ่านไม่ผิดหรอก ทุกอาทิตย์จริงๆ ในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งใครเป็นแฟนคลับ…เค้าคงจะถามว่าอยากพักบ้างไหม… นั่นสิ eyejung ก็เริ่มถามตัวเองแล้วเหมือนกันว่าเรากิจกรรมเยอะไปไหม 555 เรียกว่าหลายท่านเจอหน้า eyejung บ่อยจนไม่ทันได้คิดถึงกัน ก็ต้องเจออีกแล้ว ด้วยกระแสการถ่ายภาพที่เติบโต ควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง ที่เราคงจะต้องปรับตัวและอยู่ให้ได้เพราะถ้าอ่อนแอก็ต้องแพ้ไป เราได้เห็นหนังสือ นิตยสารหลายๆ เล่มปิดตัวลงไปอย่างน่าใจหาย แต่ทำไม Camerart ยังคงทำอยู่ได้ นั่นเพราะยังคงได้รับการสนับสนุนจากคนที่รักเราอยู่ เราจึงยืนหยัดสู้ต่อไป กับสิ่งที่เรายังคงรักษาไว้กับการอบรมถ่ายภาพแม้จะมีการเก็บค่าใช้จ่ายบ้าง ก็แค่เล็กน้อย สำหรับเป็นแค่ค่าน้ำค่าไฟ รอบนี้มีเวลาว่าง eyejung เลยได้โอกาสชะแว๊บบบ…. ขึ้นไปเติมเต็มความรู้กับเขาบ้างในหัวข้อการวัดแสง ที่ถือว่าเป็นหัวใจของการถ่ายภาพ จะได้ภาพสวยไม่สวยก็อยู่ที่ต้องควบคุมคุณภาพของสีในภาพถ่ายให้ถูกต้อง และได้สีอย่างที่ใจต้องการ รอบนี้ อ.นพ ให้ลองวัดแสง โดยให้โจทย์ในการถ่ายภาพถ่ายวัตถุ ที่วางอยู่บนพื้นสีขาว และถ่ายวัตถุอยู่บนพื้นสีดำ ซึ่งคราวนี้ทุกคนโดนเครื่องวัดแสงในกล้องหลอกเต็มๆ เราเลยได้เรียนรู้จากความผิดพลาด และแนวทางแก้ไขไปด้วย นี่คือสิ่งที่ อ.นพ สอนมาตลอดกว่า 20 ปี

เรียนรู้กันไปแล้ว ถึงเวลาลงภาคสนามกันเสียที่ ทริปนี้….ต้องบอกว่าป๊อบปูล่าสุดๆ ต้องเบรคการลงชื่อที่ 70 ท่าน เพราะว่าเรารับได้แค่นี้จริงๆ ทริปนี้เรามีเซอร์ไพรส์ นัดกันหกโมงเช้าที่เก่าเวลาเดิม ด้วยรถบัส และรถตู้ติดตามอีกสองคัน หลายคนกังวลว่าคนเยอะไปไหม ถึงเวลาจะแย่งกันถ่ายหรือเปล่า ซึ่ง eyejung การันตีเลยว่าจะไม่เกิดปัญหานี้แน่นอน เพราะสถานที่ถ่ายแต่ละจุดค่อนข้างกว้างขวาง เดินทางใกล้จุดนครปฐมได้รับโทรศัพท์จาก คุณนิว ว่าตกรถอยู่ที่มาบุญครอง เพราะจำเวลาผิด แต่บอกว่าจะตามมาเจอเองที่วัดขนอน ต้องบอกว่ามีความพยามสุดๆ ก่อนไปเจอกันที่วัดขนอน….ขอพาทุกท่านไปเติมพลังยามเช้ากันก่อน ด้วยว่าทริปนี้เราคนเยอะ เราจึงต้องมองหาร้านที่รองรับคนจำนวนมากๆ ได้ปุ๊บทำการยึดร้านแบบเต็มพื้นที่ หันไปทางไหนก็เจอแต่สมาชิกผู้ร่วมทริปของเรา แม้ทริปนี้ หลายท่านจะมาเป็นครั้งแรก แต่หลายท่านที่มาก็แทบรู้จักกันหมด วงการนี้มันแคบนิดเดียวจริงๆ หลายท่านหายหน้าคร่าตาไปนานมาก ก็ยังวนกลับมาเจอกัน อย่างเช่น พี่หนุ่ม ธวัชชัย งานนี้เลยถือโอกาส เลี้ยงข้าว อ.นพ eyejung เลยได้อานิสงฆ์บารมี ได้กินฟรีกะเขาด้วย ดีใจจัง 555…

ทานข้าวเช้าเรียบร้อยเราใช้เวลาอีกไม่นานก็เดินทางมายังจุดแรก วัดขนอน… แหล่งเรียนรู้เรื่องหนังใหญ่ ที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ก่อนลงรถ ก็ขอแจ้งข่าวสาร นัดหมายเวลากันก่อน ด้วยทริปนี้เรามากันวันอาทิตย์ ซึ่งการแสดงหนังใหญ่ จะมีการแสดงในรอบ 11 โมง แต่ถ้าใครมาวันเสาร์ จะเป็นรอบ 10 โมงเช้า ท่านที่จะมาเที่ยววัดขนอนในช่วงวันหยุด แนะนำว่าให้มาในช่วงมีการแสดงด้วย ท่านจะได้ชมทั้งพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ ที่เปิดให้ชมทุกวัน แล้วยังได้ชมศิลปะการแสดงหนังใหญ่ที่หาดูที่ไหนไม่ได้นอกจากที่วัดขนอน หรือต้องรอเทศกาลสำคัญก็จะมีการไปแสดงตามที่ต่างๆ ถึงจะมีการจัดแสดง แจ้งเรื่องรอบการแสดงแล้ว อีกเรื่องที่เราจะแจ้งให้ทุกท่านทราบว่าทริปนี้ เราได้รับความอนุเคราะห์ จากทาง ททท.สำนักงานกาญจนบุรี ที่ดูแลเขตพื้นที่ จังหวัดราชบุรีด้วย มาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารเที่ยงให้กับสมาชิกผู้ร่วมทริปทุกท่านๆ เย้ๆ… นี่แหละ เซอร์ไพรส์ ที่ eyejung จะแจ้งให้ทุกท่านทราบ

ถึงวัดขนอนกันก่อนเวลา สถานที่แรก ในการไปเก็บภาพ  คือ พิพิธภัณฑ์สถานที่จัดแสดงหนังใหญ่ ซึ่งในเมืองไทยมีเพียง 2 ที่ ที่แรกคือ วัดขนอน จังหวัดราชบุรี ที่สามารถมาชมได้ทุกวันและอีกที่คือ วัดสว่างอารมณ์ จังหวัดสิงห์บุรี สามารถเดินทางไปขอชมได้ แต่อาจจะต้องไปขออนุญาตในการเข้าชม เนื่องจากไม่มีผู้ดูแล และ นักท่องเที่ยวน้อย ส่วนใหญ่เราไปจะเจอปิด เป็นที่น่าเสียดาย

พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ ของวัดขนอน จัดว่าเป็นสถานที่แหล่งเรียนรู้ ของทั้งคนในชุมชุน และบุคคลทั่วไป เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่อนุรักษ์หนังใหญ่ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน “การสืบทอดและฟื้นฟูหนังใหญ่” จนทางยูเนสโกประกาศยกย่องให้เป็น 1 ใน 6 ชุมชนดีเด่นของโลกที่มีผลงานในการอนุรักษ์ฟื้นฟู มรดกเชิงวัฒนธรรม เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทย โดยมี ท่านพระครูพิทักษ์ศิลปาคม เจ้าอาวาสวัดขนอน ผู้เป็นแรงผลักดัน สืบสานการอนุรักษ์ ให้หนังใหญ่ยังคงอยู่คู่วัดขนอน ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์ คงจะเป็นหนังตัวที่ใหญ่ที่สุด ใช้หนังวัวถึง 4 ตัว และใช้เวลาแกะสลักไม่ถึงวัน เพื่อเทิดพระเกรียติ สมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะองค์อุปถัมภกมรดกไทย 

เดินเก็บภาพในพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่ รอทาง ททท.สำนักงานกาญจนบุรี เดินทางมาสมทบ เพื่อถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึกร่วมกัน โดยทาง CAMERART ยังได้รับเกียรติจาก ท่านพระครูพิทักษ์ศิลปาคม เจ้าอาวาสวัดขนอน และ คุณสมบัติ พรหมจารีย์ ตัวแทนจาก ททท.สำนักงานกาญจนบุรี ร่วมถ่ายภาพกับคณะชาว CAMERART แถมท่านเจ้าอาวาส ยังใจดี พาพวกเราไปที่โรงมหรสพ ที่จะทำการแสดงหนังใหญ่ ให้พวกเราได้ทดลองทดสอบระบบแสงก่อนที่จะเริ่มแสดงจริง แล้วยังให้นักเชิดหนังได้มาทดลองท่าทางต่างๆ ที่จะใช้แสดง เนื่องจากทริปเราเป็นทริปถ่ายภาพ ท่านเจ้าอาวาสท่านมีความเข้าใจ ว่าแสงมีความสำคัญกับการถ่ายภาพ ท่านจึงจัดการแสดงย่อยๆ ให้เราลองเก็บภาพดูก่อน เรียกว่า ทริปนี้เราโชคดีสุดๆ ไปเลย และด้วยความที่เราอยากเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการช่วยอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมชิ้นนี้คงอยู่กับ วัดขนอน ชาว CAMERART เลยได้ร่วมกันบริจาค เพื่อให้ทางวัดได้นำไปทำนุบำรุงรักษา ให้การแสดงหนังใหญ่ยังอยู่คู่วัดขนอน และอยู่เป็นสมบัติของทุกคนในชาติต่อไป โดยงานนี้ eyejung ขอให้ อ.นพ เป็นตัวแทนมอบเงินทำบุญที่ชาว CAMERART ได้ร่วมกันบริจาค ให้กับทางเจ้าอาวาส เพื่อใช้ในการดูแลหนังใหญ่ต่อไป จบการแสดงเดินทางกันไปต่อที่ร้านอาหารเพลินดี อยู่ห่างจากวัดขนอนเพียงไม่ถึง 5 นาที เราก็เดินทางมาถึงร้านอาหารที่ทาง ททท.สำนักงานกาญจนบุรี ใช้ในการเลี้ยงต้อนรับทีม CAMERART  ในครั้งนี้ แต่ด้วยว่าพวกเราไปจำนวนเยอะ จึงต้องแยกไป 2 โซน กรุ๊ปแรกเราจัดให้เป็นชนชั้นสูง เดินขึ้นบันไดไปทานชั้นสอง ฮ่าฮ่าฮ่า…. เนี่ยแหละชนชั้นสูงของ eyejung    

ส่วนอีกกรุ๊ปชนชั้นล่าง รู้สึกทุกท่านจะดีใจเพราะขี้เกียจปีนบันไดนั่นเอง ยอมเป็นคนชั้นล่างดีกว่า ซึ่งต้องมี eyejung อยู่ในกรุ๊ปนี้แน่นอน 555…. อาหารวันนี้ทาง ททท. จัดเต็มให้พวกเรามากกกก… เพลิดเพลินกับอาหารอร่อย สมกับชื่อร้านเพลินดี นั่งชิลๆ ตากแอร์ พอคลายร้อน แล้วเดินทางต่อไปยังจุดต่อไปกับแหล่งท่องเที่ยวของเมืองราชบุรี ที่จัดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ห้ามพลาด โรงงานเซรามิค เถ้า ฮง ไถ่ งานประติมากรรมและเซรามิคหลากสีสันสะดุดตา และเป็นผู้ปฏิวัติวงการเครื่องปั้นดินเผาในรูปแบบเดิมๆ ของเมืองราชบุรี ให้มีรูปแบบของงานศิลปะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม แต่การปั้นโอ่งก็ยังคงสัญลักษณ์ของเมืองราชบุรีอยู่  แม้จะพัฒนารูปแบบลวดลายให้ดูทันสมัย อย่างที่โรงงานเซรามิคเถ้าฮงไถ่ ที่นำรังสรรค์ผลงานที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์  แล้วยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมดูกระบวนการปั้น การเขียนลาย ซึ่ง CAMERART เองก็ไม่พลาดที่จะพาสมาชิกมาเยี่ยมชม แต่รอบนี้ต้องขอโทษทุกท่าน ที่อาจจะผิดพลาดด้านเอกสาร ทำให้เราไม่ทราบว่า  ทางโรงงานกำลังทำงานสำคัญที่จะใช้ในระดับประเทศ และห้ามมีการเก็บภาพ บริเวณงานเขียนลาย แต่สามารถเก็บภาพ ถ่ายรูปเล่นในส่วนอื่นๆ ได้ตามปกติ หรือใครอยากหลบร้อน ก็มานั่งชิลตากแอร์บริเวณร้านกาแฟด้านหน้าก็ได้ ใครชอบ Portrait สายฮา ที่นี่ ก็เปิดตุ่มให้ลงไปถ่ายภาพสุดสร้างสรรค์กันไป ปิดจ๊อบช่างภาพสายตุ่ม 

เดินทางกันต่อกับอีกหนึ่งวิถีชีวิตชาวราชบุรี กับอาชีพที่ซ้อนตัวอยู่ในเมืองแหล่งนี้ เราจะพาสมาชิกทุกท่านเดินทางไปท่องเที่ยวเชิงเกษตรกันบ้างที่ นาบัว  ต.พงสวาย อ.เมือง จ.ราชบุรี เมื่อสองปีก่อนเราเคยพาสมาชิกมาเก็บภาพ ซึ่งเมื่อสองปีที่แล้ว เราเจอเด็กหญิงตัวน้อยที่ชื่อ น้องฟ้า พ่อแม่เสียชีวิตหมด อยู่กับยาย ไม่นานตาเกิดอุบัติเหตุ  นอนป่วยเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต  ไปอีกคน ยายเลยต้องรับหน้าที่เลี้ยงหลานสองคน ซึ่งเมื่อสองปีก่อน เราก็ได้รวบรวมเงินให้การช่วยเหลือไปห้าพันกว่าบาท การมาราชบุรีครั้งนี้เราก็หวังว่าจะมาเยี่ยมเยียนน้องด้วย เดินทางมาถึงนาบัวของ คุณป้าภักดี หมื่นสักดา ฝนก็ตกลงมาต้อนรับพวกเราเลยที่เดียว แต่คุณป้าบอกว่าฝนตกแบบนี้ตกไม่นานหลอกเดี๋ยวก็หยุด ซึ่งก็จริงอย่างที่คุณป้าบอก ลงรถมาไม่ถึง 5 นาที แดดไม่รู้มาจากไหน จนเราลืมไปเลยว่าเมื่อกี่ฝนตก ลงมาเก็บภาพชาวนากำลังเก็บบัวพอดี แต่ทริปนี้ eyejung กลัวทุกท่านจะหิวน้ำ เลยสั่งให้คุณป้าช่วยเตรียมน้ำให้พวกเราด้วย นอกจากจะเตรียมน้ำแล้ว ยังจัดผลไม้มาอีกชุดใหญ่ ไว้ตอนรับสมาชิก หลายท่านลืมเรื่องถ่ายภาพไปชั่วขณะ ป่วนเปี่ยน วนเวียนอยู่กับตู้ผลไม้แช่เย็น ไม่ต้องห่วง งานนี้ eyejung ดูแลทุกคนด้วยความใกล้ชิด อิอิ.. จริงๆ แอบหลบแดดอยู่ ส่วนสายจริงจังไปซุ่มถ่ายนกกันอยู่ที่ต้นกระท้อน ทริปนี้เราแจ้งล่วงหน้าสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพนกให้เตรียมเลนส์เทเลมาด้วย เพราะตอนที่เรามาสำรวจเจอรังนกกระจาบทองเต็มต้นกระท้อน กำลังสร้างรัง ส่วนสายแลนด์ ก็เก็บภาพบึงบัวกันไป  แม้จะมากัน 70 ท่าน แต่เราไม่มีปัญหาเรื่องแย่งมุมกันเลย เบื่อถ่ายนกก็มาถ่ายภาพ น้องฟ้า ที่คุณป้าภักดี ไปรับน้องมาให้พี่ๆ ได้เจอะเจอ เราเลยจับน้องฟ้า มาเป็นนางแบบตัวน้อย งานนี้ไม่พลาดที่พี่ๆ ใจดีให้ค่าขนมน้องฟ้าไป เป็นทุนการศึกษา จากนาบัว ได้เวลาเดินทางไปยังอุทยานหินเขางู 

“อุทยานหินเขางู” แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองราชบุรี อยู่ห่างจากตัวจังหวัดราชบุรีประมาณ 8 กิโลเมตร เดิมทีเป็นแหล่งระเบิดหิน หลังจากยกเลิกสัมปทาน เขางูกลายเป็นเหมืองร้าง มีสภาพทรุดโทรม ทางจังหวัดราชบุรีจึงได้พัฒนาเขางูให้เป็นสวนสาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยว ทางโบราณคดี และได้สร้างพระพุทธรูปหินขนาดใหญ่ เต็มพื้นที่หน้าผา ด้วยการยิงแสงเลเซอร์ลงหน้าผาหิน ซึ่งก็มีการพัฒนาปรับภูมิทัศน์เรื่อยมาจนเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ มีทะเลสาบที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา  สำหรับช่างภาพสายแลนด์ ช่วงเวลาเก็บภาพสวยๆ จะเป็นช่วงแสงเย็น แต่วันนี้พวกเราน่าจะกินแห้ว เพราะอากาศแบบมืดฟ้ามัวดินมาเลยทีเดียว แถมที่หลบฝนก็ไม่มี แม่ค้าบอกว่าอากาศแบบนี้กลับไปที่รถเถอะ เพราะถ้าฝนตก มันจะตกแบบมีลมบ้าหมู อาจจะเพราะมันเป็นหุบเขา เมื่อฟังคำเตือนเราก็ไม่รอช้าล่ำลา พี่ชัช ที่พาครอบครัวมาเที่ยว และมาดักรอเจอเพื่อนๆ ทริปนี้เราจึงทานอาหารเย็นร่วมกันเร็วกว่าปกติไปนิดหนึ่ง แต่ทางพี่เจ้าของร้านอาหารถามพวกเราว่าไม่อยู่ถ่าย ฝูงหิ่งห้อย ที่อุทยานหินเขางูกันเหรอ เราเลยทราบว่าที่อุทยานหินเขางูก็มี ฝูงหิ่งห้อย นับพันตัว ไม่ใช่มีแต่ที่ปราจีนบุรี ใครมาราชบุรีครั้งหน้าอย่าลืมรอเก็บแสงหิ่งห้อยยามค่ำคืนที่อุทยานหินเขางูกันนะคะ แต่เพื่อความปลอดภัย ควรไปเป็นหมู่คณะ จะได้อุ่นใจ เที่ยวเต็มอิ่มราชบุรี 1 วัน แบบครบรส ครั้งหน้าใครชอบถ่ายภาพสายธรรมชาติห้ามพลาด เราจะพาไปมอบคลานถ่ายภาพ Macro ในช่วงปลายฝนต้นหนาวกันที่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ Bye…eyejung