เรื่อง : eyejung, ภาพทีม : CAMERART

บทความนี้มาจาก Camerart Magazine ฉบับ 260/2019 May

ชีวิตเปรียบเสมือนการเดินทาง จุดปลายทางของเราก็แตกต่างกันไป การเดินทางก็เหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ของชีวิต ทุกครั้งที่ได้ออกเดินทาง เราจะได้เจอโลกที่ต่างออกไปจากที่เราคุ้นเคยอยู่ทุกวัน รูปถ่ายแค่เครื่องมือบันทึกความทรงจำ แต่หลังภาพถ่ายที่สวยงามนั่นมีเรื่องราวมากมายที่ซ้อนอยู่ในภาพถ่าย ที่บางครั้งก็ไม่สามารถบอกเล่าเป็นคำพูดได้ ต้องออกไปสัมผัสด้วยตัวเอง เพราะโมเม้นท์ที่ได้สัมผัสนั้นมันช่างแตกต่างกัน เหมือนกับทริปเที่ยวถ่ายภาพ “ออกตามล่าทางช้างเผือก ณ สามร้อยยอด” ที่บอกเลยว่าหลากหลายประสบการณ์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ 

ทริปนี้เป็นครั้งแรกของปีเลยที่ CAMERART จัดทริปเพื่อออกตามล่าทางช้างเผือก และมันก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวของประสบการณ์การเดินทางของชีวิตทั้ง 8 ชีวิต แต่จริงๆ มี 10 ท่าน แต่มีเหตุยกเลิกกะทันหัน เนื่องจากปัญหาสุขภาพ  สรุปเดินทางรวมกัน 8 ชีวิต กันแบบสบายๆ เพราะต่างเป็นคนคุ้นเคย แต่ก่อนการเดินทางก็มีเหตุไม่คาดฝัน เนื่องจากพี่น้อง จีรวรรณ ที่เดินทางไปเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอดแจ้งว่า “ที่บึงบัวไม่อนุญาตให้เข้าไปเก็บภาพตอนกลางคืนอีกแล้ว” ทำให้โปรแกรมที่แพลนไว้ของเราต้องรวนไปเลย ด้วยเหตุนี้จึงต้องไปหาสถานที่ตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพทางช้างเผือกใหม่  เลยทำให้เจอเรื่องช็อกว่ายิ่งกว่าการไม่ให้ถ่ายภาพที่บึงบัวเสียอีก คือ บ้านพักที่ทางอุทยานเปิดให้จองออนไลน์มันน่ากลัวมาก ทั้งเก่าและโทรม สภาพแวดล้อม คือ รายล้อมไปด้วยลิงหลายร้อยตัว เรียกว่างานนี้ต้องถามทางหัวหน้าอุทยานเลยว่า…สภาพบ้านน่ากลัวขนาดนี้ทำไมยังเปิดให้จอง… แต่หัวหน้าอุทยานบอกว่า…ได้ทำเรื่องให้เอาบ้านหลังตั้งกล่าวออกจากระบบของกรมอุทยานแล้ว…. แต่เราจะทำอย่างไงจองไปแล้วยกเลิกก็ไม่ได้…โชคดีหัวหน้าอุทยานใจดี….ช่วยแก้ปัญหาให้เข้าพักที่บ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จที่…หาดสามพระยา ทำให้เราได้บ้านหลังใหม่ที่ไฮโซมาก ใครอยากไปพักแบบเงียบสงบจองที่พักที่หาดสามพระยาได้เลย…น่าพักมากๆๆๆ

แก้ปัญหาเรื่องบ้านพักได้แล้ว…จุดถ่ายภาพ…ก็ OK กันไปแล้ว…ถึงวันออกเดินทาง มีการปรับเปลี่ยนโปรแกรมกันอีก… เพราะ พี่อั๋น สรรเสริญ แนะนำว่า ถ้าอยากได้ภาพนาเกลือสวยๆ แบบวิถีชีวิตตั้งเดิม….ต้องไปเก็บภาพที่ อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ทริปนี้เราเลยขอปรับโปรแกรม เพราะอยากพาทุกคนไปสัมผัสวิถีชีวิตการทำนาเกลือแบบดั้งเดิม ที่นาเกลือบ้านแหลม ถือว่าเกลือจากเพชรบุรีดีที่สุดจากจำนวน 4 แห่งของ เมืองไทย

 

ถ่ายภาพนาเกลือ…ที่บ้านแหลม…

นาเกลือบ้านแหลม  ตั้งอยู่ในถนนเส้นรองที่แยกจากถนนพระราม 2 แยกซ้ายไป คลองโคน-บางตะบูน-บ้านแหลม…และเป็นเส้นทางลัดไปจนถึงอำเภอชะอำได้ ถนนเส้นนี้เป็นโครงข่ายถนนเลียบชายทะเลของกระทรวงคมนาคม ถนนเส้นนี้ตัดเลียบสวยงาม  เป็นถนนสองเลน ตัดผ่านไปตามนาเกลือ ระหว่างทางจะเห็นโรงเกลือเรียงรายไปตามแนวถนน มีทั้งภาพของนาเกลือที่ยังมีน้ำทะเลขัง น้ำรอการระเหย และตกผลึกเกลือ ในบางผืนเราก็จะได้เห็นภาพกองเกลือ รวมถึงคนงานที่กำลังจัดการกับกองเกลือและหาบเกลือเข้าไป ยังโรงเกลือ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว และเป็นจุดถ่ายภาพที่นักถ่ายภาพนิยมมาเก็บภาพกองเกลือที่เรียงรายสะท้อนกับผืนน้ำ และบรรยากาศของการทำนาเกลือ แบบดั้งเดิมที่ยังคงใช้แรงงานคน ซึ่งหาชมได้ยากในปัจจุบัน สามารถมาเก็บภาพได้ช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายน จะมีกองเกลือให้ได้ชมมากที่สุด 

เราแวะทานอาหารเช้าที่ร้านข้าวแกงแม่ล้วนเหมือนเดิม ก่อนจะขับรถลัดเลาะเข้าสู้ถนนชายหาด ซึ่งก็เป็นการขับตระเวนหานาเกลือที่มีกองเกลือ เพื่อทำการรอเก็บ และก็โชคดีเจอนาที่กองเกลือเสร็จเรียบร้อยแล้ว อ.นพ ของเรารีบลงไปสอบถามได้ความว่า จะมีการเก็บในช่วงเวลา 8.30 น. ซึ่ง ณ เวลานี้เพิ่ง 7.30 น. แต่ด้วยความตั้งใจที่จะเก็บภาพ…พวกเราจึงรอและถ่ายภาพเล่นกันก่อน ใกล้เวลาแปดโมงครึ่ง คนงานทยอยมา และรอการจับฉลากแบ่งสายในการเก็บเกลือ ซึ่งแต่ละสาย ก็จะมีทีมเก็บเกลือ ชุดในการทำงานส่วนใหญ่จะใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาว  หมวกผ้าคุมหน้าตา  ร้องเท้าผ้าที่ออกแบบมาเพื่อการเก็บเกลือโดยเฉพาะ และทุกคนจะพอกหน้าด้วยแป้งทานาคา พอคนงานมาครบ พวกเราก็ตกตะลึง ว่าทำไมคนเยอะขนาดนี้  เลือกถ่ายไม่ถูกเลย  จน น้องเอก บอกเหมือนมาดูคอนเสิร์ต  BNK ไม่รู้จะเลือกถ่ายใครดี  555… พอถึงเวลาเก็บเกลือ เรียกว่ามนุษย์งานทำงานกันอย่างว่องไว ในสภาพอากาศที่ร้อนระอุ เรียกว่าเหล่าช่างภาพขอถอยทัพยอมแพ้สภาพอากาศ ขอมานั่งตากแอร์เดินทางกันต่อดีกว่า

จุดที่สอง ที่เราจะเดินทางมาวันนี้คือ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด เพื่อมาถ่ายภาพ ค่างแว่น แต่วันนี้เป็นวันหยุด ค่างแว่นก็คงหยุดไม่มาทำงาน มีแต่ลิงแสม เจ้าหน้าที่บอกว่าค่างแว่นไม่ลงมา 2-3 วันแล้ว ต้องไปลุ้นที่หาดสามพระยาดู เพราะที่หาดสามพระยาก็มีค่างแว่น ความหวังเรากลับคืนมา มาถึง หาดสามพระยา เตรียมเอาของเก็บเข้าที่พัก หัวหน้าที่ดูแลแจ้งว่าเตรียมจะให้เอาบ้านเข้าระบบจองออนไลน์ ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ 4 ห้องนอน มีเตียงนอนขนาด 6 ฟุต ตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น และที่สำคัญแอร์ด้วย ไฮโซสุดๆ แนะนำเลยว่าใครมาเที่ยวที่หาดสามพระยา…จองที่พักที่นี่สะดวกที่สุด มีทั้งร้านอาหาร ตื่นขึ้นมาก็ชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น หรือใครอยากเล่นน้ำก็สะดวก แถมที่นี่เงียบสงบ เหมาะกับการมาพักผ่อน แต่เรามีโปรแกรมต้องเดินทางไปอุทยานแห่งชาติกุยบุรี….

ถ่ายช้างป่า…ที่กุยบุรี…

ด้วยทริปนี้เป็นทริปล่าช้าง ทั้งทางบก & ทางอากาศ เราหวังว่าต้องได้สักทางหนึ่งแหละ… เพราะอย่างที่รู้กันภาพถ่ายตามธรรมชาติมันคาดเดาอะไรไม่ได้ เตรียมการมาดีเจอสภาพอากาศปิด ฝนตกหรือเหตุการณ์อะไรที่เราคาดไม่ถึงเป็นเสน่ห์ที่ให้ได้ลุ้นเอา ทริปนี้เราตั้งใจมาถ่ายภาพ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ที่ขึ้นชื่อว่า “ซาฟารีเมืองไทย” เพราะสามารถเฝ้าดูฝูงช้างป่า กระทิง และสัตว์ป่าหายากอย่างวัวแดง ที่จัดเป็นชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรี ตั้งอยู่ที่บ้านรวมไทย ม.7 ต.หาดขาม อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 20 กม. สามารถชมได้ในเวลา 14.00-18.00 น. ของทุกวันโดยรถยนต์ไปจอดที่จุด เพื่อเปลี่ยนรถ…มีชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรี เป็นผู้ดูแล โดยใช้รถท้องถิ่น  มีพี่คนขับและไกด์ท้องถิ่นที่ชำนาญเส้นทางและพื้นที่ เมื่อสมัยก่อนไกด์จะมีวิทยุสื่อสาร ที่คอยบอกว่าช้างออกจุดไหนบ้าง แล้วก็ขับไปดู แต่เดี๋ยวนี้วิทยุสื่อสารหลายคนเสียและไม่ได้มีการซื้อใหม่ ช้างออกก็ไม่ค่อยรู้ ต้องคอยไปลุ้นเอา บางครั้งก็เจอบางครั้งก็พลาดไม่เจอ และทางอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวเข้าไปนะคะ ความหวังของเราอยู่ที่ไกด์ล้วนๆ แล้วแต่โชคด้วยเจอไกด์ดี หรือไกด์ไม่ดี ซึ่งครั้งนี้เราครั้งนี้โชคดี 

จุดแรกที่ไกด์จะพาแวะ คือ จุดชมสัตว์โป่งสลัดได ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ มีหอชมสัตว์ เรามักเห็นครอบครัวช้างป่ามาหากินบริเวณนี้อยู่บ่อยครั้ง และเป็นจุดที่เห็นง่ายสุด ครั้งนี้โชคดีมากเจอครอบครัวช้างป่า กำลังขึ้นจากน้ำพอดีเลย  จุดแรกก็สร้างความประทับใจไม่น้อย  และหวังว่าทริปนี้เราจะโชคดี  เจอทั้งกระทิง และวัวแดง เพราะ eyejung ยังไม่เคยเจอเลย วนรถตามจุดชมช้างเรียกว่าครั้งนี้เจอทุกจุด แถมนกเงือกบินโฉบลงมาให้เห็นอีก และจุดสุดท้ายหน้าผา ซึ่งจะเป็นจุดที่ชมได้ทั้งช้างและฝูงกระทิง แต่ค่อนข้างไกลมาก ขนาดกระทิงออกแล้ว…ไกด์ชี้ให้ดูยังดูไม่ออกเลย เห็นที่ละส่วน เหมือนประกอบจิ๊กซอ ที่ได้ภาพไม่ครบทั้งตัวสักที่ 555…จนใกล้หมดเวลา ปิดท้ายแบบ Finale เจอช้างแม่ลูกแบบระยะประชิด  ถ่ายภาพกันจนลืมกลัว แถมท้ายด้วยฝูงกระทิงที่จุดแรก ถ้ารู้ว่ากระทิงออกจุดนี้คงรีบมากว่านี้ ไกด์น่าจะมีวิทยุสื่อสาร คงจะดีจะได้ติดต่อได้ว่าจุดไหนอะไรออกบ้าง แต่แค่นี้ทุกคนก็ประทับใจอุ่นใจได้ช้างป่าไปแล้ว คืนนี้มาลุ้นทางช้างเผือกกันต่อ

ล่าช้าง…ขึ้นกลางทะเล…

เดินทางกลับเข้าที่พักคืนนี้เราตั้งเป้าว่าขอถ่ายภาพสบายๆ หน่อยแล้วกัน  เพราะจากตอนที่สำรวจไว้…ทางช้างเผือกขึ้นที่จุดกลางทะเล…หน้าที่พักเราเลย  แต่อุปสรรค์มันอยู่ที่เรือไดปลาหมึก  หลอดไฟนีออนสีเขียว กลายเป็นถ่ายทางช้างเผือกผสมแสงเหนือที่ไม่ต้องไปไกลถึงไอแลนด์ 555…นอกจากแสงเรือไดหมึกที่รบกวนแล้ว อีกอย่างที่รบกวนการถ่ายภาพของเรานั้นคือ ยุง  ถ้าลมสงบยุงก็บุกโจมตีเรา การเตรียมความพร้อมป้องกันถือว่าสำคัญมาก แต่ eyejung  ฉลาดกว่า ตั้งถ่าย Time Lapse แล้วเดินกลับเข้าไปนอนต่อ รู้สึกชีวิตดี้ดี 55… แสงพระอาทิตย์ไล่กลบแสงดาว เราก็ถ่ายภาพแสงเช้ากันต่อเลย แต่เมฆเจ้ากรรมบังอาทิตย์เราซะมิด กว่าพระอาทิตย์จะพ้นเมฆก็สูงเกินกว่าจะได้ภาพสวยงามแล้ว กลับไปอาบน้ำทานอาหารกันเรียบร้อยแล้วเตรียมออกไปทรมานร่างกายกันต่อ อิอิ…

ปีนเขา…ขึ้นถ้ำพระยานคร…

อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ ของอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอดคือ ถ้ำพญานคร ตามประวัติแต่โบราณได้ชื่อนี้ เพราะเจ้าพระยานครเป็นผู้ค้นพบคราร่วมเสด็จประพาสในรัชกาลที่ 5 ต่อมาพระมหากษัตริย์ หลายพระองค์ ก็ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาที่นี่ ใครจะเชื่อว่ายามพระอาทิตย์ส่อง แสงผ่านปล่องเขากระทบกับพลับพลา ที่ประทับเรืองรองงดงามยิ่งกว่าใช้ไฟดวงใด วันเวลาที่ให้ข้อมูลท่องเที่ยวแนะนำ ชมลำแสงยามเที่ยงลอดช่องเพดานลงสู่พระที่นั่งฯ ช่วงเวลาที่สวยที่สุดคือ 10.30-11.30 น. ซึ่งก็เป็นความจริงบางส่วน เพราะครั้งนี้เราก็ไปในช่วงเวลาที่เวปท่องเที่ยวต่างให้ข้อมูล แต่ไม่ได้เห็นลำแสงที่ส่องมายังพลับพลา เพราะจริงๆ แล้ว แสงจะส่องตรงพลับพลา จะอยู่ในช่วง กลางเดือนพฤศจิกายน-เดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น และจะมีช่วงเวลาของลำแสงต่างไปในแต่ละเดือนอีก ซึ่งถ้าใครอยากถ่ายภาพที่ลำแสงส่องตรงพลับพลาจะต้องดูด้วยว่าเดือนที่ไปแสงส่องในช่วงเวลากี่โมง ซึ่งเวปท่องเที่ยวจะบอกแค่ช่วงเวลาประมาณการทั้งหมดว่า 10.30-11.30 น. แต่ในความเป็นจริงถ้าเราเลือกไปช่วงเดือนกลางพฤศจิกายน-กลางเดือนธันวาคม เราต้องไปอยู่ในถ้ำตั้งแต่ 9 โมงเช้า  แสงจะเริมไล่เข้ามาและพลาดผ่านตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถึงแค่ 10.30  น. แต่ถ้ามาช่วงเดือนกลางธันวาคม-กุมภาพันธ์ ก็ต้องมาอยู่ในถ้ำตั้งแต่ 10 โมงเช้า

ปัญหาคือเรื่องการเดินทาง เพราะต้องเผื่อเวลา สำหรับคนที่ร่างกายไม่ฟิตแบบ ก๊วนแก็งค์ CAMERART เผื่อเรื่องการเดินประมาณสัก 1.00 -1.30 ชม.

การเดินทางไปยังถ้ำพระยานคร  จะมี 2 แบบ คือ แบบแรกนั่งเรือหางยาวจาก หาดบางปู ใช้เวลาเดินทางเพียง 10 นาที ไปลงยัง หาดแหลมศาล ซึ่งเป็นจุดเริ่มเดินเท้าไปยังถ้ำพระยานคร ติดต่อเรือได้ที่ซุ้มของอุทยานฯ ราคาไปกลับลำละ 400 บาท นั่งได้ไม่เกิน 6 คน จะช่วยทุ่นเวลาและผ่อนแรงจากการเดินทางได้ครึ่งหนึ่งโดยที่ไม่ต้องเดินจากหาดบางปู

แบบที่ 2 คือ เริ่มเดินเท้าจากหาดบางปูไปยังถ้ำพระยานคร  ซึ่งต้องเดินไกลกว่าแบบแรก ทางเดินช่วงแรกจากหาดบางปูไปยังหาดแหลมศาลาประมาณ 500 เมตร เดินข้ามเขาเรียบทะเลไปเรื่อยๆ ไปจนถึงหน้าหาดแหลมศาลา คือ จุดเริ่มต้นเดินทางเพื่อไปยังถ้ำพระยานคร ไม่ว่าจะนั่งเรือหรือเดินมาจากหาดบางปู ทุกคนก็จะมาเริ่มเดินเท้าอีกครั้งจากจุดนี้ ก็จะเจอป้ายระยะทาง 430 เมตร แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าลองวัดใหม่ด้วยระบบ  GPS  แล้ว จริง ๆ คือ 600 เมตร แต่ป้ายบอก 430  เมตรนั้นเป็นการวัดระยะสมัยเทคโนโลยียังไม่พัฒนา  เส้นทางในการเดินขึ้น  เป็นบันไดหินชันขึ้นไปเรื่อยๆ  ซึ้งบอกได้คำเดียวว่าท้อมาก  และ คิดในใจ…นี่การมาเที่ยวของเราจะต้องทรมานร่างกายขนาดนี้เลยหรอ 555..สงสารก็ พี่กบ ที่เพิ่งผ่าตัดขามา  แผลยังหายไม่สนิท และลุงคำนวณ ที่มีปัญหาเรื่องหัวเข่า เพราะอายุเยอะแล้ว แต่ใจยังสู้ไม่ถอย  แนะว่าใครจะมาเที่ยวที่นี่วางแผน เพื่อเวลาดี เตรียมน้ำ ยาดม พัดลมไปให้พร้อม ร้องเท้าควรใช้ร้องเท้ายางหุ้มข้อ ลุยน้ำได้ และเดินป่าได้ จะสะดวกมาก เพราะทางเดินค่อนข้างเดินยาก ต้องค่อยๆ เดิน ดื่มด่ำกับถ้ำพญานครที่แสงไม่ตกกระทบลงพลับพลา นั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ เลยทำให้รู้ว่าเราพลาด อุตส่าห์รีบเดิน  555…

จากถ้ำพญานคร นั่งเรือลุยน้ำ ตะลุยเดินขึ้นเขา ลงถ้ำจนเหงื่อโทรมกาย ก็ให้ทุกคนกลับมาอาบน้ำนอนกลางวัน เหมือนเด็กอนุบาลที่มีพักนอนด้วย อิอิ… ก่อนจะไปถ่ายแสงเย็นกันที่ บึงบัว จุดหมายแรกที่เราจะมาถ่ายภาพทางช้างเผือก  แต่ทางหัวหน้าอุทยานไม่อนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ในยามวิกาล เนื่องจากเคยมีช่างภาพลักลอบเอาเครื่องดื่มมึนเมา และมาตีกันในอุทยานเพราะแย่งที่ถ่ายภาพกัน อีกทั้งทางอุทยานยังไม่ได้พัฒนาพื้นที่ให้เป็นสถานที่ถ่ายดาว จึงต้องรอการพัฒนาก่อน อาจจะเปิดให้เข้าไปถ่ายภาพในอนาคต วันนี้เลยได้มาถ่ายแสงเย็นที่มีแต่บัวเหี่ยวๆ และฟ้าเน่า จนกลัวว่าคืนนี้เราจะได้ทางช้างเผือกกันไหมล่ะเนี่ย….

ล่าช้าง…คืนที่สอง…

คืนที่สอง…ของการล่าทางช้างเผือกเป็นสถานที่ที่ พี่น้อง แนะนำเป็นซีนที่สวยมาก ถ้าฟ้าไม่ปิดเราคงจะได้ทางช้างเผือกงามๆ นัดหมายกันเที่ยงคืน ไปถึงที่หมาย ทั้งแมฆ ทั้งยุงป่ามากันครบเลยทีเดียว ทุกอย่างลงตัวแต่ก็อยู่ที่ฟ้าลิขิต… กว่าจะได้ช้างเผือกจางๆ ทางช้างเผือกเราก็ตั้งฉากขึ้นสูง หนีซีนที่เราวางไว้ไปเยอะแล้ว หลายคนลงความเห็นกันว่าจุดนี้ต้องมาแก้ตัวใหม่ แต่แสงเช้าก็งดงามทดแทนภาพทางช้างเผือกเมื่อคืน ต้องบอกว่า ประสบการณ์มันซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ต้องออกไปสัมผัสเอง สิ่งที่เราได้คือครั้งนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเราพลาดเรื่องอะไร Bye…eyejung