เรื่อง+ภาพ : ศุภฤกษ์ นฤเบศร์ไกรสีห์

บทความนี้มาจาก Camerart Magazine ฉบับ 212/2015 May

บทที่ 13  เครื่องวัดแสงมือถือ

เครื่องวัดแสงมือถือเป็นเครื่องวัดแสงที่แยกต่างหากออกมาจากตัวกล้อง สำหรับวัดแสงได้ทั้งแสงธรรมชาติ แสงแฟลช (ยกเว้นบางรุ่น) วัดแสงแบบตกกระทบ (มีโดมกลมสีขาวหน้าเซลวัดแสงทำหน้าที่กรองแสงให้เหลือ 18%) และวัดแสงแบบสะท้อน (มีช่องเปิดหน้าเซลรับแสง) ในระบบวัดแสงสะท้อนสามารถวัดแสงได้ทั้งแบบเฉลี่ยทั้งภาพ และเฉพาะจุดเมื่อติดตั้งอุปกรณ์พิเศษสำหรับควบคุมมุมแสง รวมทั้งมีเครื่องวัดแสงบางรุ่นสร้างออกมาให้วัดแสงเฉพาะจุดได้โดยตรง (Spot Meter)

เครื่องวัดแสงมือถือรุ่นมืออาชีพ มีระบบการทำงานครบหมดในตัวเดียว

เหตุที่มีการใช้เครื่องวัดแสงมือถือเป็นเพราะกล้องในอดีตนั้นไม่มีเครื่องวัดแสง จึงมีการสร้างเครื่องวัดแสงแยกออกมา ต่อมาเมื่อมีการสร้างเครื่องวัดแสงในตัวกล้อง ความนิยมในเครื่องวัดแสงมือถือจึงลดลงตามลำดับ แต่เครื่องวัดแสงมือถือก็ยังมีประโยชน์ในการถ่ายภาพบางรูปแบบ เช่น การใช้แฟลชในสตูดิโอซึ่งเครื่องวัดแสงในตัวกล้องไม่สามารถวัดแสงแฟลชสตูดิโอ (แฟลชแมนนวล) ได้ จึงต้องพึ่งพาเครื่องวัดแสงมือถือ รวมทั้งการจัดแสงที่ต้องการวัดอัตราส่วนของแสงในตำแหน่งต่างๆ เครื่องวัดแสงมือถือจะสามารถวัดอัตราส่วนของแสงได้อย่างแม่นยำโดยไม่ถูกหลอกจากสีของวัตถุเหมือนเครื่องวัดแสงในตัวกล้อง และเครื่องวัดแสงมือถือยังวัดแสงได้แม่นยำกว่า (ไม่นับความผิดพลาดของเลนส์) มีความผิดพลาดเพียง 0.1EV เท่านั้น มีช่วงการวัดแสงกว้าง สามารถวัดแสงในที่แสงน้อยได้ดีและแม่นยำมากกว่า การบอกค่าเปิดรับแสงเหมือนกับกล้องถ่ายภาพในระบบแมนนวล คือบอกค่าความเร็วชัตเตอร์และช่องรับแสงที่ต้องใช้ สามารถตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ ช่องรับแสง ความไวแสงได้ในช่วงกว้างมากๆ

เครื่องวัดแสงมือถือรุ่นใหม่อย่าง Sekonic L-758D จะมีระบบการทำงานรองรับระบบภาพดิจิตอล รวมทั้งการทำงานร่วมกับ Wireless Flash และการคำนวณค่าแสงแฟลชร่วมกับแสงธรรมชาติได้ละเอียดแม่นยำอย่างมาก ซึ่งหลังจากจบเรื่องวัดแสงผมจะได้พูดถึงเครื่องวัดแสงมือถือโดยละเอียดต่อไป