เรื่อง+ภาพ : นายจักรยาน

บทความนี้มาจาก Camerart Magazine ฉบับ 240/2017 September

สิงคโปร์เป็นเมืองท่องเที่ยวใกล้บ้าน ที่ใช้เวลาในการเดินทางไม่ไกลจากบ้านเราเลย บางท่านเดินทางไปกันหลายครั้ง หลายเที่ยว จนเหมือนเดินทางไปต่างจังหวัด คุ้นเคยจดจำถนนหนทางกันได้หมด สถานที่ท่องเที่ยวตรงไหน คงคุ้นเคยกันไม่ลำบากแก่การค้นหาแน่นอน ตัวผมเองแม้จะไม่ได้ไปบ่อย แต่ก็คุ้นเคยบ้าง โดยเฉพาะจุดแลนด์มาร์ค เช่น Marina Bay Sand หรือ Garden by the Bay ซึ่งมีลักษณะของการจัดภูมิทัศน์ ที่สวยงามสมบูรณ์แบบ เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก แทบจะมีทุกวินาทีมีแสง ต้องมีนักท่องเที่ยว ไปเฝ้ารอชมความงาม ถึงแม้จะไปซ้ำที่เดิม แต่ผมไม่รู้สึกเบื่อ เพราะในวันเวลาที่แตกต่างกัน ความสวยงาม ย่อมแตกต่างกันอย่างแน่นอน ผมจะเลือกเวลาในการบันทึกภาพที่ไม่ซ้ำเวลาเดิม เพื่อความแตกต่างของภาพ

Marina Bay Sand กับเวลาที่แตกต่าง

ในเวลากลางคืน ผมเคยมาเก็บภาพในช่วงเวลาที่มีการแสดงการยิงแสงเลเซอร์แล้ว ซึ่งการแสดงเริ่มกลางคืน หลังจากเข้าสู่ช่วงเวลาท้องฟ้ามืด แต่ในช่วงเวลา ทไวท์ไลท์แสงเช้า หรือแสงโพล้เพล้สวยๆ ในช่วงเวลาบลูอาวร์ผมยังไม่ได้เก็บภาพ ยังได้ภาพไม่น่าประทับใจ คราวนี้ผมจึงตั้งใจไปเก็บแสงเช้าและแสงเย็น แต่เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่าอากาศที่สิงคโปร์มีความไม่แน่นอน มีฝนตกสลับหยุดโดยไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ ในช่วงเย็นผมยังไม่ประสบผลสำเร็จเหมือนเดิม ยังไม่ได้แสงเย็นสวยๆ แต่ก็ได้คลิป Time lapse เมฆวิ่งได้บ้างเล็กน้อย ที่อ่าวมาริน่าเบย์แซนด์นี้ ในช่วงเย็นพระอาทิตย์จะตกทางอีกด้านของตึก ทรงเรือที่เลื่องลือชื่อ ถ้าอากาศดีจะได้ท้องฟ้าใสๆ สีฟ้าจัด แต่อากาศไม่สู้ดีนัก จึงได้ภาพช่วงเวลาเย็นเป็นก้อนเมฆสีเทาๆ ผมจึงคาดหวังว่าจะได้ ท้องฟ้าสวยงามในช่วงเช้า ที่พระอาทิตย์ขึ้นด้านตึก มาริน่าเบย์ การไปถ่ายช่วงเช้าของมุมมาริน่าเบย์แซนด์ที่สิงคโปร์นี้ ไม่ต้องรีบตื่นเช้า ตีสี่ ตีห้าเหมือนที่บ้านเรา ผมออกจากโรงแรมที่พักเมื่อเวลา 6.30 น. นั่งรถเมล์ หรือจะนั่งรถไฟใต้ดินก็ได้ ใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมาย ลงรถเมล์เดินอีกเล็กน้อย พระอาทิตย์ที่นี่ขึ้นเวลาประมาณ 7.00 น. ผมตั้งกล้องใกล้รูปปั้นสิงโตเมอไลอ้อน เห็นตัวตึกมาริน่าอยู่ด้านขวา มีชิงช้าสวรรค์ สิงคโปร์ไฟลเอ่อร์อยู่ด้านซ้าย พระอาทิตย์จะขึ้นตรงชิงช้าสวรรค์ เบี่ยงมาทางด้านขวาเล็กน้อย ผมใช้เลนส์มุมกว้าง 17-40 แต่ไม่กว้างเต็ม 17 mm. พกกล้อง และเลนส์ไปตัวเดียว พร้อมขาตั้งกล้อง และชุดฟิลเตอร์ graduate ครึ่งซีก เพื่อลดแสงช่วงท้องฟ้าที่มีความแตกต่างกับพื้นส่วนล่าง ผมตั้งการถ่ายภาพให้เป็น Time Lapse ช่วงที่ฟ้าเริ่มสว่าง โดยตั้งช่วงหน่วงเวลาชัตเตอร์หรือ Interval ที่ 3 วินาที ใช้โหมดถ่ายภาพ AV เปิดหน้ากล้องประมาณ f/11 ใช้เวลาถ่ายภาพประมาณครึ่งชั่วโมง พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงแรงมาก และเคลื่อนตัวขึ้นสูง ผมจึงหยุดถ่ายภาพ ถ่ายประมาณ 500 ภาพ แสงตอนเช้าแม้จะไม่สวยงามมาก แต่สภาพแสงยังดีกว่าช่วงเย็น ผมได้ไฟล์ภาพ ที่เป็นคลิป time Lapse อีกหนึ่งชุด และภาพนิ่งจากการเลือกภาพที่ดีที่สุดหนึ่งภาพ ในจำนวนภาพ 500 ภาพ ข้อควรระวังในการตั้งกล้อง คือ ช่วงเช้าฟ้ายังไม่สว่าง น้ำจะนิ่งสวย และน้ำที่พ่นจากสิงโตเมอไลอ้อนยังไม่เปิด แต่เมื่อเวลาใกล้ 7.00 น. น้ำจะเริ่มพ่นจากปากสิงโต หากตั้งกล้องใกล้สิงโตเกินไป จะทำให้กล้องโดนละอองน้ำเปียกได้ ควรนำเสื้อกันฝนหรือผ้าป้องกันกล้อง และตัวเองเผื่อไปด้วยครับ

เทคนิคถ่ายต้นไม้มหัศจรรย์ Super Tree

สิงคโปร์เพิ่งเปิดสวนต้นไม้ในอาคารขนาดใหญ่ ที่เพิ่งสร้างเสร็จ มีความใหญ่โต หลากหลายด้วยพันธุ์ไม้ ในอาคารโปร่งแสงขนาดใหญ่สองอาคาร ที่จัดสวนด้วยการจำลองธรรมชาติ มาอย่างใกล้เคียงที่สุด ภายในอาคารมีการปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมด้วยเครื่องปรับอากาศ มีความเย็นสบาย เดินชมได้อย่างไม่รู้จักเหนื่อย และจุดสุดท้ายของการชมสวน Garden by the Bay คือการรอชมการแสดงแสงสีของไฟ ประกอบดนตรี ที่บริเวณหมู่ต้นไม้มหัศจรรย์ขนาดใหญ่ Super Tree การเก็บภาพบริเวณนี้ ช่วงพีคที่สุดน่าจะเป็น ช่วงทไวไลท์ ที่แสงท้องฟ้าเป็นสีฟ้าจัดในช่วงบลูอาวร์ คอนทราสต่ำลงทำให้เห็นรายละเอียดในส่วนมืดได้ชัดเจน เห็นโครงของต้นไม้ตัดกับฉากหลังมีเส้นสายที่สวยงาม มีไฟเปิดขึ้นเล็กน้อย ยังเปิดไม่เต็มที่ จุดนี้จะเป็นข้อด้อย เพราะขณะที่ฟ้าสวยสุดๆ แต่ไฟยังเปิดไม่เต็มที่ แต่ช่วงเวลาที่เป็นการแสดงไฟประกอบดนตรี เริ่มเวลาประมาณ 19.30 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ฟ้ามืดดำไปแล้ว แต่มีไฟที่เปิดเป็นจังหวะต่อเนื่องอย่างสวยงาม การชมการแสดงประเภทนี้ ด้วยตาจะมีความสวยงามของแสงไฟหลากสีสัน ให้ดูอย่างต่อเนื่อง ผมขอเรียนตามตรงเลยว่า การจะเก็บบรรยากาศการแสดงนี้ ให้เป็นภาพนิ่งเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ แต่ถ้าเก็บภาพเป็นวีดิโอ เคลื่อนไหว จะดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่ได้เก็บเป็นภาพวีดิโอ แต่ถ่ายเป็นภาพนิ่งต่อเนื่องแบบ Time Lapse โดยกล้องได้ถ่ายติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง มาถึงคำถามว่าควรจะใช้เวลาเปิดหน้ากล้องเท่าใด และเปิดรูรับแสงพร้อมตั้งค่าความแสงเท่าใด ผมใช้การตั้งค่าดังนี้ครับ Speed Shutter 1 วินาที รูรับแสง f/4 ISO 320

ถ้าตั้งการถ่ายภาพแบบ Time Lapse ควรเว้นช่วงเวลาการถ่ายหรือ Interval ให้น้อยที่สุด จะทำให้มีช่วงเว้นว่างน้อยที่สุด ผมเลือกใช้สปีด 1 วินาที เพราะแสงไฟมักจะเปิดไล่กัน เช่นไฟที่เป็นสปอทเล็กๆ กระจายทั่วต้นไม้ใหญ่นั้น ในการแสดง จะเปิดไล่กันไปมาและปิดลง ในช่วงเวลา 1 วินาที จึงสามารถเก็บได้หมด และไม่นานเกินไปที่จะทำให้ดวงไฟทั้งหมดสว่างจ้าไป ลักษณะเช่นเดียวกับการถ่ายภาพการจุดพลุ ตำแหน่งของการถ่ายงานแสดงนี้ ผมเลือกนั่งในที่สูง เป็นเหมือนที่นั่งชม อยู่บนหลังคาของอาคารชั้นเดียวที่จัดเป็นสวน ถึงแม้จะเห็นไม่ครบทุกต้น แต่การตั้งกล้องในตำแหน่งสูงนี้ ไม่มีนักท่องเที่ยวยืนบังกล้องแน่นอน ผมวางแผนขึ้นไปตั้งกล้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด เลือกมุมให้ดีที่สุด เพราะจะใช้มุมนี้ถ่ายตลอดจนจบการแสดง โดยไม่เคลื่อนย้ายกล้อง ผมถ่ายเก็บแสงช่วงฟ้าบลูฮาวร์ที่มีฟ้าสีจัดเก็บไว้ แต่ต้นไม้บางส่วนยังเป็นสีดำ ซึ่งยังไม่มีความสมบูรณ์นัก จากนั้นการแสดงเริ่ม จึงเปลี่ยนการถ่ายภาพเป็นแบบ Time lapse ให้กล้องถ่ายภาพไปเองจนจบการแสดง หลังจากกลับมาจึงมาเลือกเอาแสงไฟสวยๆ ในหลายภาพมาผสมกันโดยใช้ Mask และเลือกระบายเอาแสงที่ดีที่สุดที่ต้องการมาใช้

ถ่ายดอกไม้สนุกด้วยช่วงเลนส์ 70-300 f/4-5.6 L IS USM

ในการไปเที่ยวครั้งนี้ ผมเอาเลนส์ไปให้พอเหมาะกับการใช้งาน พกมาโครช่วง 50 mm. ไปด้วย แต่วันที่ไปชมสวนต้นไม้ ผมเอาเลนส์ออกจากกระเป๋า จึงขาดเลนส์ถ่ายมาโครดอกไม้ ผมต้องใช้เลนส์ 70-300 f/4-5.6 L IS USM ซึ่งมีช่วงมาโครกำลังขยาย 0.2 มาให้ด้วย ถึงแม้จะไม่ใช่มาโครแท้ แต่ก็ถ่ายได้งานพอประมาณ ผมใช้วิธี ซูมสุดที่ 300 mm. แล้วปรับเป็น แมนนวลหมุนวงแหวนโฟกัสหาระยะชัด ขยับตัวให้เข้าใกล้ระยะใกล้สุด การปรับความชัด นอกจากใช้ตาเช็คจากวิวไฟน์เดอร์แล้ว คอยฟังเสียงเตือนความคมชัด เพิ่มความมั่นใจอีกขั้นหนึ่งด้วย ระยะเลนส์ที่ 300 มาโครนี้ ทำให้ไม่ต้องเข้าไปใกล้มาก เหมาะกับดอกไม้ขนาดเล็กที่อยู่ไกลตัว มีความสะดวกมาก ต่างกับเลนส์ มาโครแท้ 50 หรือ 100 mm. ที่ต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ

ในตัวอาคารสวนดอกไม้นี้ ยังมีน้ำตกขนาดสูงเท่าตึกหลายชั้น ปล่อยน้ำลงมาสวยงามมาก ถ้าจะเก็บน้ำตกนี้ให้หมด ต้องพกเลนส์ Fisheyse ติดไปด้วยถึงจะเก็บหมดครับ

ถ่ายอาคาร Chino Portuguese

สิงคโปร์แม้จะมีความเจริญรุดหน้าก้าวล้ำ ในหลายๆ ด้านอย่างมากมาย ที่เห็นได้ชัดคือการวางผังเมือง การออกแบบอาคารที่อยู่อาศัย มีตึกระฟ้าทันสมัย ได้รับการออกแบบสร้างขึ้นมา ในย่านธุรกิจอย่างมากมาย เป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของอาคารทันสมัยบนเกาะสิงคโปร์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง สิงคโปร์ไม่ละทิ้งศิลปะสถาปัตยกรรมดั้งเดิม ที่มีมาในสมัยเริ่มสร้างเมือง ในยุคที่ยังเป็นเมืองขึ้นของชนต่างชาติ อาคารเก่าแบบ ชิโนโปรตุกีส ได้รับการอนุรักษ์ ซ่อมแซม ให้อยู่ในสภาพดี มีความงดงามน่าสนใจ ไม่แพ้อาคารทันสมัยยุคใหม่ๆ เลย กลุ่มอาคารนี้มีกระจายอยู่ทั่วไปในแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแหล่งชอปปิ้งชื่อดัง ถนนออชาร์ท อย่างไรก็ตามในสิงคโปร์นั้น พลเมืองที่มีถิ่นพำนักมาตั้งแต่ดั้งเดิมนั้น มีหลายชนขาติอยู่ร่วมกัน เช่น จีน มาเลเซีย และอินเดีย ทำให้มีศิลปวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน รวมถึงงานศิลปะสถาปัตยกรรมด้วย มีความหลากหลาย มุมมอง และทางรัฐบาลเองก็ดูแลอย่างทั่วถึง ทำให้เป็นทีน่าสนใจ น่าตื่นตาตื่นใจกับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

สิงคโปร์มีโลเคชั่นสวยงามมากมาย เป็นที่นิยมถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง ทั้งคนสิงคโปร์เอง และคนต่างชาติ ที่ผมได้ติดตามดู และขอแจมถ่ายภาพกลับมา มีทั้ง เวียดนาม มาเลเซีย แม้กระทั่งคนไทยผมก็เคยเจอ

เทคนิคเซลฟี่ ในสภาพแสงน้อยอย่างง่ายๆ ครับ ปรับตั้งกล้องให้แสงวิวฉากหลังพอดี อาจจะต้องใช้สปีดช้า และดันไอเอสโอสูง จากนั้นตั้งเวลาถ่าย และใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์ส่องหน้าให้เห็นรายละเอียด ถ้าไม่ใช้ไฟโทรศัพท์หน้าจะดำมืดครับ

สิงคโปร์ในมุมมองของหลายๆ ท่านที่เคยไปเยือนมา อาจมีความแตกต่างกันไป มุมยอดนิยม หรือมุมมหาชน อาจจะมีความคุ้นตากันอยู่มาก หลายมุมมอง แต่อย่างไรก็ตาม ผมพยายามจะนำเสนอมุมมอง และเทคนิคใหม่ๆ มาฝากกัน ยังมีมุมมองที่น่าสนใจอยู่อีกมาก ในสิงคโปร์ ถ้ามีโอกาสผมคงได้นำให้ชมกันอีกครับ