เรื่อง+ภาพ : eyejung

บทความนี้มาจาก Camerart Magazine 257/2019 February

เชียงใหม่  (อีกแล้ว)  หลายคนที่เห็นคงจะเกิดคำถามว่าไปบ่อยไปไหม๊ ซึ่งก็ต้องบอกว่าไปเชียงใหม่ทุกครั้งไม่มีเบื่อเลย แม้จะไปในสถานที่เดิมๆ ด้วยเสน่ห์ของเมืองเชียงใหม่ที่มีที่เที่ยวเยอะมาก และการเดินทางค่อนข้างสะดวก แม้จะมาคนเดียวก็เที่ยวได้ แต่รอบนี้เราไม่ได้เปรี้ยวขนาดนั้น การมาเที่ยวครั้งนี้เราแพลนมาแบบเที่ยวทั้งธรรมชาติ และชมศิลปวัฒนธรรมล้านนา ทริปนี้เป็นทริปพาคนใต้เที่ยวภาคเหนือกันบ้าง เดินทางด้วยกัน  4  คน  ด้วยสายการบินนกแอร์  รอบเช้าสุดถึงเชียงใหม่เจ็ดโมงเช้า ครั้งนี้เราใช้วิธีเที่ยวด้วยการเช่ารถขับเที่ยวกันเอง เพราะด้วยระบบ GPS ที่ช่วยให้การเที่ยวไหนก็ไม่ต้องกลัวหลง รับรถกันเรียบร้อยออกไปเติมพลังกันก่อน ต้อนรับมื้อเช้ากับเมนูเบาๆ อร่อยๆ กับร้าน โจ๊ก เกาเหลา ต้มเลือดหมู จิงจูไฉ่ ที่  “ร้านจินจูไฉ่”  ร้านอาหารเก่าแก่ข้างทางชื่อดังของเชียงใหม่ที่เปิดมานานมากแล้ว ต้มเลือดหมูที่นี่น้ำซุปรสชาติหวานดี หอมกลมกล่อม เข้มข้น ทานได้โดยไม่ต้องปรุงเพิ่ม ร้านตั้งอยู่บนถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี (จากแยกบิ๊กซี ให้เลี้ยวซ้ายตรงไป ผ่านร้าน wind mill ไป จะเจอร้านซ้ายมือ ก่อนถึงสี่แยกกาดแม่เหี๊ยะ)

ทริปนี้ต้องบอกว่าเป็นทริปที่เน้นความชิล เราเลยชะแว๊ปขับรถไปนั่งจิบกาแฟในบรรยากาศร่มรื่น ณ Kaomai Estate 1955 (เก๊าไม้ เอสเตท คาเฟ่โรงบ่ม) ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ ตัวร้านมีสองชั้นดีไซน์ทันสมัยโดยยังคงเค้าโครงโรงบ่มดั้งเดิมไว้ ภายในร้านค่อนข้างสูงโปร่งเป็นแบบโอเพ่นแอร์ เน้นรับลมจากธรรมชาติ ติดกระจกใสทั้งสองด้านเพื่อที่จะได้ชมวิว ร้านตั้งอยู่ใน อ.สันป่าตอง เชียงใหม่ เป็นคาเฟ่บรรยากาศร่มรื่น มีจุดถ่ายภาพมากมาย โดยเฉพาะอาคารที่พัก ซึ่งดัดแปลงจากโรงบ่มใบยาสูบ มีไม้เลื้อยปกคลุมทั้งหลัง ตั้งเรียงรายท่ามกลางต้นไม้ใหญ่และ Kaomai Estate 1955 เพิ่งได้รับรางวัลการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม จาก UNESCO เอเชีย-แปซิฟิก ในสาขาการออกแบบใหม่ในบริบทมรดก นี่ถือเป็นครั้งแรกที่โครงการจากประเทศไทยได้รับรางวัลในสาขานี้จาก UNESCO เอเชีย-แปซิฟิก โดยรางวัลสาขานี้จะมอบให้กับโครงการที่มีสิ่งปลูกสร้างใหม่ผ่านการออกแบบอันโดดเด่นให้กลมกลืนกับบริบทในอดีต เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน Kaomai Estate 1955 กลายเป็นจุดเช็คอินยอดฮิตอีกที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเชียงใหม่

จากคาเฟ่ นั่งเล่นกันแล้วเราขับรถมาเที่ยวต่อกันที่ อำเภอแม่ริม กับวัดสวย ของอำเภอแม่ริม วัดป่าดาราภิรมย์ เดินทางมาอำเภอแม่ริมห้ามพลาดที่จะแวะกราบพระ   กันที่ วัดป่าดาราภิรมย์ พระอารามหลวงชั้นตรี ที่งดงาม อายุอานามกว่า 100 ปี ซ่อนตัวอยู่ใน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ขึ้นชื่ออย่างมากด้านความสวยงามทางสถาปัตยกรรม สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 อดีตที่นี่…เคยเป็นเพียงแค่ป่าช้า… ที่ติดกับ พระตำหนักของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี วัดนี้ถูกตั้งขึ้นตามพระนามของ “พระราชชายา เจ้าดารารัศมี” เป็นวัดที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอแห่งนี้ เนื่องจาก หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตออกจาริกธุดงค์มาที่ภาคเหนือ ก่อนจะหยุดพำนักบริเวณป่าช้าแห่งนี้ ซึ่งยังมีพระสงฆ์ที่เข้ามาบำเพ็ญกรรมฐานที่นี่อย่างไม่ขาด เพราะความสงบ เป็นพื้นที่สปายะโดยแท้ชาวบ้านที่เห็นเกิดความศรัทธาช่วยกันก่อสร้างเสนาสนะขึ้นมา จนค่อยๆ กลายเป็นวัดอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน  วัดป่าดาราภิรมย์ ได้รับการยกยกว่ามีความสวยงามติดอันดับต้นๆ ของวัดในเชียงใหม่ สิ่งก่อสร้างล้วนมีความวิจิตร ในสถาปัตยกรรมแบบล้านนา วัดป่าดาราภิรมย์ มีความสำคัญเป็นพระอารามหลวงแห่งที่ 7 ในจังหวัดเชียงใหม่ ภายในวัดมีบรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ มาอำเภอแม่ริมต้องแวะเที่ยวชม และกราบพระเพื่อความเป็นศิริมงคล

จากแม่ริม เดินทางสู่อำเภอแม่แตง กับอีกหนึ่งวัดสวยของอำเภอแม่แตง วัดบ้านเด่นสะหลีศรีเมืองแกน ที่ใครๆ ก็ต้องมา ความโดดเด่นของวัดบ้านเด่น คือ สิ่งปลูกสร้างใหญ่โตสวยงามมาก มีสิ่งปลูกสร้างมากมาย แต่กลับมองไปไม่เห็นพระภิกษุสงฆ์ และสามเณรเลย มีเพียงท่านครูบาเจ้าเทือง ที่จำพรรษาอยู่ เพียงรูปเดียวเท่านั้น (แต่ปัจจุบันท่านได้มรณภาพแล้ว) การก่อสร้างวัดบ้านเด่น เป็นแบบล้านนาประยุกต์ ที่ผสมผสานแนวคิดของท่านครูบาเทืองเอง ที่เรียกว่า แนวสถาปนึก คือ คิดจะใส่อะไร ก็ใส่ จะทำไร ก็ทำ แต่ต้องมีความมั่นคง เป็นการผสมผสานวัดบ้าน กับวัดป่า ความเชื่อที่ว่าศาสนาอยู่ได้เพราะปฏิบัติ การแบ่งแยกไม่ใช่เรื่องสำคัญโดยยึดหลักการสร้างตามบุญ คงเพราะการสร้างตามบุญนี่เอง ที่ทำให้จนกระทั่งทุกวันนี้ วัดเด่นสะหลีศรีเมืองแกน จึงมีขนาดสิ่งปลูกสร้างใหญ่ และยังคงสร้างไม่แล้วเสร็จในหลายๆ ส่วน รวมถึงปัจจุบันก็ยังปิดปรับปรุงบางส่วน และสร้างขึ้นใหม่เรื่อยๆ วันนี้เรามาวันธรรมดา นักท่องเที่ยวเลยไม่เยอะมาก ที่นี่มีมุมให้ถ่ายภาพมากมายใครชอบถ่ายภาพสถาปัตยกรรม แนะนำว่ามาช่วงเช้าหรือไม่ก็บ่ายจะได้แสงที่สวยมาก

จากวัดบ้านเด่นสะหลีศรีเมืองแกน เรายังเที่ยวกันต่อที่อำเภอแม่แตง เราจะไปตามหาความฟินทะลุหมอกกันที่ม่อนเงาะ และ จิบชา ดูหมอก นอนหลักร้อยกัน ที่ไร่ชาลุงเดชขับรถลัดเลาะในทางคดเคี้ยวที่ต้องมีความชำนาญพอสมควร ก่อนเข้ามาได้มีการโทรสอบถามเรื่องอาหารเย็น ซึ่งทางน้องเบิดผู้ดูแล แจ้งว่า ถ้ามาเกินห้าโมงเย็นครัวจะปิดแล้ว แนะนำให้ทานเข้ามาเลย เดินทางมาถึงไร่ชาลุงเดช ก็จะพบกับความฟินกับการนั่งจิบชาชมแสงเย็น ไฮไลท์ของไร่ชาลุงเดชอยู่ที่บ้านพักของไร่ชาที่หันหน้าออกสู่ไร่ชาอันเขียวขจีนั่นเอง นั่งชมแสงเย็น และเอาของเก็บเข้าที่พัก ให้ลุงเดชช่วยติดต่อรถ เพื่อจะขึ้นไปชมทะเลหมอกที่ม่อนเงาะ ตกกลางคืนก็ออกมาชมดาวกันได้สัมผัสไอหมอกที่กระทบตัวเป็นระยะๆ ต้องบอกว่าเป็นที่พักหลักร้อยที่ให้ความฟินระดับ 10 ดาว 

รุ่งเช้าเวลาตีห้า รถก็มารับเพื่อขึ้นไปชมทะเลหมอกกันต่อที่ม่อนเงาะ ที่มาของม่อนเงาะ เกิดจากหินผาที่เรียงกันสามลูก (พ่อแม่ลูก) ซึ่งไอ้ลูกกลางที่เป็นแม่เนี่ย เด่นสุด พวกกลุ่มชาวม้งเค้าเลยเรียกกันว่า “โม่งโง๊ะ” ไปๆ มาๆ กลายเป็นม่อนเงาะเฉยเลย บนม่อนเงาะเราจะสามารถมองเห็นดอยหลวงเชียงดาวได้ด้วย ม่อนเงาะได้รับขนานมานว่าเป็นภูชี้ฟ้าของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นแหล่งชมทะเลหมอกที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียงแค่ 65 กิโลเมตร ดอยม่อนเงาะ สามารถมองเห็นทะเลหมอกได้ 360 องศา พร้อมกับแสงดาวที่ยังเจิดจรัสในยามเช้า เรียกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดีต่อใจ  ถือว่าคุ้มค่า กับการที่เราได้เดินทางมาสัมผัสทะเลหมอกและวิวแบบพาโนรามาได้ไกลสุดตา ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,425 เมตร แถมที่นี่ยังมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น ชมทะเลหมอกกันแล้ว เราก็มาปลอมตัวเป็นชาวเขากันต่อที่ไร่ชาลุงเดช ไปแอคท่าเก็บชา ที่เราสามารถชมหมอกกันต่อที่ไร่ชาลุงเดช ถึงเก้าโมงเช้าก่อนจะมาทานเช้าที่เมนูแนะนำยอดอ่อนใบชาชุบแป้งทอด ทานอาหารเช้าทามกลางสายหมอก อาหารหลักร้อยของเรากับวิวหลักล้านเรียกว่ามาเชียงใหม่กี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ

ถ้าใครอยากอยากพักผ่อนแบบสบายๆ ในราคาไม่แพง แนะนำว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่อยากจะบอกต่อ เราไม่สามารถทำให้ทุกคนรู้สึกแบบตัวเองที่ได้มายืนตรงจุดนี้ แค่อยากให้ไปสัมผัสความสวยงามตามธรรมชาติกันเองสักครั้ง  เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกคุ้มค่ากับประสบการณ์ที่ได้รับ

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

*ที่ตั้ง ไร่ชาลุงเดช ต.เมืองก๋าย อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ โทร. 081 163 3765

ราคาห้องพัก :

บ้านพักแบบเอเฟรม มี 2 หลัง คือ ราคาหลังละ 500 บาท / คืน พักได้ 2 ท่าน ไม่มีห้องน้ำในตัว

บ้านพักแบบเรือนแถว มี 2 แบบ คือ ราคาห้องละ 600 บาท / คืน พักได้ 4 ท่าน, ห้องละ 500 / คืน พักได้ 2 ท่าน ห้องพักแบบเรือนแถว มีห้องน้ำในตัวอาบน้ำได้

*ค่ารถขึ้น ยอดดอยม่อนเงาะ 700 บาท นั่งได้ 10 คน