เรื่อง+ภาพ : eyejung

นานมากแล้วที่เราไม่ได้ออกไปกอดเขา เมื่อคิดถึงเขา เราก็หอบความคิดถึง ไปให้ธรรมชาติโอบกอด ทริปนี้จึงเกิดขึ้น กับการไปเที่ยวที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก และเราจะได้ทั้งชมหมอกและกอดเขาด้วย ความฟิน 10 เต็ม 10 กันไปเลย กับน้ำตกที่ขั้นชื่อว่าสวยที่สุดของเมืองกาญจนบุรี กับน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น สวรรค์ชั้น 7 ของคนรักน้ำตก ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า eyejung ไม่ได้มาที่นี่นานมาก ด้วยเมื่อสมัยอดีตการมาน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นคือค่อนข้างลำบาก ต้องเอารถมาต่อเพื่อขึ้นแพขนานยนต์ เพื่อเดินทางมาน้ำตกแห่งนี้ ต่อมามีการตัดถนนผ่านเข้าน้ำตก ซึ่งถือว่าการเดินทางสะดวกสบายขึ้นเยอะ

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เป็นน้ำตกหินปูนขนาดใหญ่ มีสภาพสวยงาม จนถูกขนานนามว่าเป็น “น้ำตกสรวงสวรรค์” ของจังหวัดกาญจนบุรี แบ่งออกเป็น 7 ชั้น มีชื่อเรียกต่างๆกันไปแต่ละชั้น เช่น ชั้นที่ 1 ดงว่าน ชั้นที่ 2 ม่านขมิ้น ชั้นที่ 3 วังหน้าผา ชั้นที่ 4 ฉัตรแก้ว ชั้นที่ 5 ไหลจนหลง ชั้นที่ 6 ดงผีเสื้อ ชั้นที่ 7 ร่มเกล้า แต่ละชั้นมีความสูงและความงดงามต่างกันไป ทางอุทยานฯได้ทำเส้นทาง เดินสำหรับขึ้นไปชมน้ำตกแต่ละชั้นและยังเป็นเส้นทางเดินศึกษา ธรรมชาติ น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เป็นน้ำตกที่สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี

แต่ช่วงที่สวยสุดน่าจะช่วงปลายฝนตุลาคม-กุมภาพันธ์ เราจะได้เห็นถึงความสวยงามที่ธรรมชาติที่เติมแต่งความสวยงามตามธรรมชาติ การเดินทางครั้งนี้เป็นการออกมาฟอกปอด เรามาถึงที่ทำการอุทยานช่วงเที่ยง ซึ่งก็มีศูนย์อาหาร มีให้เลือกทานอยู่แค่ 2 ร้านเป็นอาหารตามสั่งทั่วไป ร้านน้ำขนมก็มีอีก 1 ร้าน ร้านอื่นๆ ปิด เพราะว่านักท่องเที่ยวไม่ได้เยอะมาก แต่ถือว่าสำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมการเรื่องอาหารมาปิคนิคเองถือว่าไม่ลำบากเรื่องอาหารการกิน ที่ทำการอุทยานกำลังลังขยายบ้านพักรองรับนักท่องเที่ยว และอีกหนึ่งความพิเศษของน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นคือน้ำตกอยู่ริมทะเลสาปของเขื่อนศรีนครินทร์ ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถชมความงามของน้ำตก และความสวยงามของเขื่อนศรีนครินทร์ได้อีกด้วย

หลังจากทานข้าวกันเรียบร้อย เราก็มาวางแผนเที่ยวน้ำตกโดยได้คำแนะนำจากทางร้านอาหาร ซึ่งเราจะนำนำสูตรการเที่ยวถ่ายภาพแบบได้ภาพสวยๆ และไม่เหนื่อยมาก ตามมาดูกันเลยออกจากกรุงเทพฯ แต่เช้า เราจะไปถึงที่ทำการอุทยานประมาณเที่ยง เอาของไปเก็บแล้วทานอาหารพร้อมออกเดินทาง สูตรการเดินทางของเราวันนี้คือเราจะเริ่มเดินเก็บภาพจากชั้น 7 ก่อน โดยมีศูนย์กลางของชั้น 4 เป็นตัวตั้ง เส้นทางเดินไปน้ำตกทำดีมาก และเป็นเส้นทางราบที่เดินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องปีนปายเหมือนน้ำตกแห่งอื่น ผู้สูงอายุก็สามารถมาเที่ยวได้สบายๆ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากแนะนำคือ ติดสเปย์กันยุงไปด้วย ด้วยลักษณะภูมิภาพของน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เป็นป่าดิบเขาแล้ง แมลงคลายตัวคุ่น สายเดินป่าจะรู้ฤทธิ์เดชเจ้าตัวคุ่นกันดี เตรียมเสื้อผ้ารัดกุ่ม และมีหมวกที่สามารถปิดหน้าได้ บางทีมันยังไม่ได้กัดแต่มันตอมหน้าตอมตาจนเราเกิดความรำคาญหาผ้าไปค่อยปัดก็พอช่วยได้

วันแรกเราเริ่มเก็บภาพที่ชั้น 7 มีชื่อว่าร่มเกล้า และมาต่อกันชั้นที่ 6 กับชั้นดงผีเสื้อ สมกับชื่อชั้นนี้จริงๆ เพราะชั้นนี้จะมีผีเสื้ออยู่เยอะมาก และเป็นอีก 1 ชั้น ที่สวยมากเราใช้เวลาอยู่ที่ชั้น 6 กันนานพอสมควร ชั้นที่ใช้เวลาถ่ายภาพน้ำตกน้อยสุดคงจะเป็นชั้น 5 เพราะชั้น 5 ความสวยงามหายไปหลังจากเจอพายุฝนทำให้ดินถล่มลงมา จนน้ำตกชั้น 5 มีสภาพการเปลี่ยนแปลงไปทิศทางน้ำตกก็เปลี่ยนไปด้วย

จากชั้น 5 เรามาปิดท้ายวันแรกกันที่ชั้น 4 ฉัตรแก้ว เป็นชั้นที่เป็นไฮไลท์ของน้ำตกห้วยขมิ้น สายน้ำที่ค่อยๆ ลดหลั่นกันลงมาตามชั้นดิน และหินเตี้ยๆ แล้วไหลเทตกจากผาสูงกว่า 10 เมตร ลงมายังแอ่งข้างล่าง และช่วงเย็นแสงแดดอ่อนๆ ทำให้ถ่ายน้ำตกได้สวยมากยิ่งขึ้น และช่วงเย็นเรามามานั่งนิ่งๆ ดูวิวกันที่จุดชมวิว มันทำให้เราได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ได้มาพักใจ ทำให้ใจเราเบากับการอยู่ทามกลางป่าเขาลำเนาไพรแบบนี้ วันแรกก็เต็มอิ่มแล้ว คืนนี้เราเลือกนอนที่ค่ายพัก แต่สิ่งหนึ่งที่เราคาดไม่ถึงคือที่นี่ไฟฟ้าไม่พอใช้ บ้านพักเรามีแอร์แต่เปิดไม่ได้ ไฟไม่ติด เปิดพัดลมก็ต้องปิดไฟ จนเรางงว่าทำไมเขื่อนศรีนครินทร์เป็นเขื่อนที่ผลิตไฟฟ้า แต่ในพื้นที่ขาดแคลนไฟฟ้า เราเห็นถึงการไม่เท่าเทียมการจัดสรรทรัพยากรให้กับคนในพื้นที่ ทั้งที่พื้นที่ของเขาผลิตไฟฟ้า เราก็เศร้าใจทำไมทุกอย่างต้องส่งให้กับเมืองหลวง คนที่เป็นเจ้าของพื้นที่กับได้สิทธิการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ตนเองน้อยแบบนี้

วันที่สอง ตื่นขึ้นมาทามกลางขุนเขาสายหมอกจางๆ มองไปทางไหนก็สวยงามด้วยทัศนียภาพที่สวยงามแวดล้อมตัวเราอิ่มเอมกับแสงเช้า วันนี้เราจะไปเก็บภาพน้ำตกชั้นอื่นๆ กันต่อ เริ่มต้นที่ชั้น 4 เช่นเดิม แต่ครั้งนี้เป็นการเดินลงบันได ซึ่งการวางแผนเดินทางของเราวันนี้คือให้รถลงไปรอรับเราที่ชั้น 1 เลย เพื่อเราจะได้ไม่ต้องเดินขึ้นมาให้เหนื่อย เราเริ่มต้นต่อจากชั้น 4 ก็เป็นชั้น 3 วังหน้าผา เป็นอีก 1 ชั้นที่มีความสวยงามไม่แพ้ชั้นอื่นๆ ใช้เวลาอยู่ที่ชั้นนี้พอสมควร และชั้นที่ 2 ม่านขมิ้น สมกับชื่อม่านขมิ้น น้ำตกขนาดไม่สูงแต่หน้ากว้างเหมือนผ้าม่าน และชั้นสุดท้ายชั้นที่ 1 ดงว่าน ด้วยสภาพแวดล้อมมีพืชกระกูลว่านอยู่มากมาย ก็เป็นการทัวร์น้ำตกครบทุกชั้นแบบไม่เหนื่อย และนี่คือมนต์เสน่ห์ของน้ำตกงามคู่เมืองกาญจน์

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น

ตั้งในอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ อ.ศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ห่างจากอำเภอเมืองกาญจนบุรีประมาณ 108 กิโลเมตร มีเขื่อนศรีนครินทร์ล้อมรอบ เหมือนน้ำตกอยู่กลางทะเลสาบ อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ระยะทาง 237 กม.

สูตรการเดินที่ 1 เริ่มเดินจาก ชั้นที่ 4 ไล่ไปชั้น 7 เริ่มต้นจากชั้น 7 มาชั้นที่ 6 ดงผีเสื้อ ชั้นนี้มีความสวยงามมาก และชั้นที่ 5 ไหลจนหลง ชั้นนี้ไม่ค่อยมีอะไร และมาจบท้ายวันที่ชั้น 4 ฉัตรแก้ว เรียกว่าเป็นชั้นไฮไลท์ของน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น

วันที่สองเริ่มจากชั้น 4 และ เดินไปชั้นที่ 3 วังหน้าผา ชั้นที่ 2 ม่านขมิ้น และมาจบ ชั้นที่ 1 ดงว่าน ถ้าใครมีรถ ก็ให้รถมารอรับที่ชั้น 1 ก็จะไม่ต้องเดินขึ้นกลับไป การแบ่งน้ำตกออกเป็นสองท่อน ทำให้ง่ายต่อการเที่ยว

สูตรการเดินที่ 2 เดินไล่จากชั้น 1 ถึงชั้น 7 แต่เหนื่อยหน่อย

ค่าธรรมเนียมเข้าชม – ค่าธรรมเนียมผู้ใหญ่ 100 บาท/คน. เด็ก 50 บาท/คน

เที่ยวสายธรรมชาติกันไปแล้ว เราเดินทางต่อไปเที่ยวสายวัฒนธรรมกันบ้างที่  อำเภอสังขละบุรี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอำเภอที่หลายคนชอบไปเที่ยวดูวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และความยิ้มแย้มแจ่มใสของชาวสังขละ โปรแกรมการเดินทางเราก็ยังเหมือนเดิมๆ ทุกครั้ง วันนี้เราจะพาไปเมืองบาดาล ล่องเรือชมโบสถ์เก่ากลางน้ำ สุดอันซีน ซึ่งตอนนี้มีการขนอุปกรณ์ก่อสร้างซึ่งเราคาดว่าน่าจะมีการซ่อมบำรุง เพื่อปรับให้ยังโครงสร้างเดิมไว้  เพราะยังดึงดูดให้นักท่องเที่ยวได้ไปเที่ยวชมในช่วงที่น้ำลด จากโบสถ์เก่ากลางน้ำอีกหนึ่งวัดที่เปิดให้เข้าไปท่องเที่ยวเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านนี้ เป็นอีกหนึ่งท่องเที่ยวอันซีนของสังขละ

วัดสมเด็จ (เก่า) ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ตรงข้ามเมืองบาดาล สร้างโดยพระครูวิมลกาญจนคุณเจ้าคณะตำบลหนองลู เป็นวัดที่ไม่ได้จมน้ำ แต่ถูกทิ้งร้างเมื่อครั้งย้ายอำเภอสังขละบุรี ตอนสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ (เขื่อนเขาแหลม) อุโบสถของวัดสมเด็จมีพระประธานสภาพค่อนข้างสมบูรณ์รอบตัวโบสถ์มีต้นไทรใหญ่ปกคลุมดูมีมนต์ขลัง

จากวัดสมเด็จเราล่องเรือกลับวันนี้เราจะได้แสงเย็นกัน ณ ที่พักเราเลยซึ่งมองเห็นสะพานไม้ได้อย่างชัดเจน จากซองกาเลียรีสอร์ท แต่วันนี้แสงเย็นก็ไม่เป็นใจ เที่ยวสายธรรมชาติต้องทำใจ เพราะไม่ใช่ทุกวันจะสวยงาม ก็เหมือนอย่างกับชีวิตเราที่เราเองที่บางวันที่แย่มากๆ แต่ก็มีบางวันที่งดงามอย่างคาดไม่ถึง หลังฝนตกเราก็มักจะได้เห็นสายรุ้ง ชีวิตก็แบบนี้ลุ้นต่อวันพรุ่งนี้เช้า ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าทริปครั้งนี้เราลุ้นไม่ขึ้นจริงๆ สายหมอกที่เฝ้ารอก็ไม่เห็น แต่ที่เราจะได้พลาดคือ ตักบาตรเช้ากับพระมอญตามวิถีมอญ ที่ปัจจุบันมันดูเป็นการค้า แต่มันคือการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่น อีกมนต์เสน่ห์ของสังขละ และอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ของสังขละ คือ เด็กปะแป้ง ขายดอกไม้ บนสะพานมอญยุวทูตตัวน้อยของการท่องเที่ยวสังขละบุรี ที่ใครมาก็ไม่พลาดที่จะให้ของปะแป้ง และขอถ่ายภาพน้องๆ เป็นภาพที่เขาคุ้นชินสายตา

ปิดท้ายทริปนี้ด้วยวัดถ้ำเสือ ที่อำเภอท่าม่วงของจังหวัดกาญจนบุรี เราได้เห็นภาพในมุมมองใหม่ๆ ที่เปิดออกมา ทำให้หลายคนอยากออกไปตามรอยและเราก็เป็นหนึ่งในนั้น การเห็นรูปคนอื่นๆ มาแล้วมันก็ไม่เหมือนที่เราดูด้วยตาตัวเอง การเดินทางไปเจอกับตัวเอง มันมีคุณค่ามากกว่าดูในรูปและฟังจากปากคนอื่น”  Bye..eyejung