เรื่อง : นพดล
บทความนี้มาจาก Camerart Magazine 252/2018 September
Factory Camera
Factory Camera ในที่นี้หมายถึงกล้องที่ Leitz เก็บไว้ใช้งานเอง ซึ่งไม่มีใครได้ไปสะสมถึงแม้จะเชื่อกันว่า “กล้องบางตัวที่ยังไม่ได้ดัดแปลงอาจจะถูกขายให้พนักงานในโรงงาน” ซึ่งก็มีน้อยมาก
กล้อง “Null Serie” ประกอบด้วยกล้องต้นแบบ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อพิจารณาการออกแบบ และเพื่อให้ได้รายละเอียดของกล้องจริง รวมทั้งความสามารถในการผลิตก็จะได้รับการพิจารณาในขั้นนี้ด้วย กล้องในรุ่นนี้บางตัวจะส่งให้ช่างภาพอาชีพทดสอบและพิจารณา ซึ่งปกติจะมี Serial No. พิเศษ แตกต่างจากกล้องที่ผลิตขาย ตัวอย่างเช่น เลข 4 ตัว ซึ่ง 2 ตัวแรกเป็น 0 ในกรณีของ M3 และ เลข 4 ตัว ตามด้วยดอกจันในกรณีรุ่น MP
กล้อง “Betriebs” เป็นกล้องใช้งานในโรงงานเพื่อการถ่ายภาพหรือการทดสอบมีรอยสลักด้านบนว่า “Be-triebsk” มาจาก “Betriebskamera” หรือ “Works Camera” และจะมี Serial No. พิเศษ เป็นเลข 3-4 หลัก
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_01.jpg)
“Betriebsk” ที่ถูกสลักไว้บนกล้อง IIIc ด้านบนของตัวกล้องและภายในตัวกล้อง
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_02.jpg)
กล้องอีกตัวหนึ่งถูกสลักไว้ว่า “Leitz Eigentum” (Leitz property) ที่ด้านหลังของแผ่นปิดด้านบน กล้องนี้ใช้สำหรับนำออกไปถ่ายนอกสถานที่ โดยพนักงานหรือคนนอก เพื่อทดสอบเลนส์หรือฟิล์ม รวมทั้งยังมีการกู้ยืมออกไปเพื่อการสาธิตหรือ เพื่อแทนกล้องของลูกค้าที่นำเข้ามาซ่อม
ท้ายสุดก็มีกล้องที่สงวนไว้สำหรับกู้ยืม ซึ่งสลักไว้ว่า “Leith-Kamera” (Ioan camera) บนด้านหลังของแผ่นปิดด้านบน ซึ่งตัวแทนจำหน่ายจะมีกล้องสำหรับกู้ยืมซึ่งสลักไว้อย่างนี้เช่นกัน
เครื่องขับเคลื่อนฟิล์มอัตโนมัติ
ก่อนและหลังที่ Leica ได้ถือกำเนิดขึ้นมา มีความพยายามที่จะผลิตกล้อง 35 มม. ขับเคลื่อนฟิล์มอัตโนมัติ ซึ่งสามารถใส่ฟิล์มได้มากเลย ทำงานได้รวดเร็ว จึงได้มีการค้นคว้าในการหาแนวทางที่เป็นไปได้ที่จะขึ้นฟิล์ม และความไวชัตเตอร์ได้รวดเร็ว และง่ายขึ้น ในช่วงแรกๆ มีชิ้นส่วนซึ่งสร้างโดยผู้ผลิตอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งอุปกรณ์นี้รู้จักในนาม “Rapido” ซึ่งสามารถเข้าได้กับที่หมุนขึ้นฟิล์มและมีขดลวดเหล็ก ซึ่งมีแหวนสำหรับดึงเพื่อความเร็วในการขึ้นฟิล์ม แต่ไม่นานก็ถูกลบเลือนไปเนื่องจาก Leitz ได้แนะนำแผ่นฐานพิเศษ ซึ่งสามารถเปลี่ยนกับแผ่นฐานปกติ แผ่นฐานนี้ประกอบด้วยตัวหมุนซึ่งส่งแรงโดยสปริง และสามารถกระตุ้นการทำงาน โดยมีไกที่จะเลื่อนภาพ 1 ภาพ โดยใช้จังหวะเดียว จะสามารถขึ้นไกนี้ได้โดยใช้นิ้วชี้มือซ้าย และปล่อยไกโดยใช้นิ้วชี้ขวาทำให้สามารถใช้กล้องได้ง่าย และรวดเร็ว รหัสของอุปกรณ์นี้คือ SCNOO ซึ่งLEICA IIIc รุ่นสุดท้ายทำในลักษณะนี้
แนวความคิดอีกลักษณะหนึ่งได้เกิดขึ้น หลังจากการแนะนำตัวของอุปกรณ์ชื่อ OOFRC ซึ่งใช้สายลั่นไก และการขึ้นฟิล์มได้อย่างสะดวก โดยใช้สายซึ่งสายเส้นหนึ่งจะกระตุ้นระบบขึ้นฟิล์ม ส่วนอีกสายใช้ลั่นชัตเตอร์ (อุปกรณ์นี้ออกแบบเพื่อใช้กับกล้อง ในที่ซึ่งยากต่อการถ่ายด้วยมือ เช่น ในขั้นตอนของอุตสาหกรรมบางชนิดหรือถ่ายภาพสัตว์ป่า) ในการใช้งานอุปกรณ์ขึ้นกับความคล่องแคล่วและความชำนาญของผู้ถ่าย ซึ่งกล้องนี้สามารถถ่ายภาพได้หลายภาพในเวลาอันสั้น แต่ความอัตโนมัติมิได้เกิดขึ้นจนกระทั้งการผลิต MODLY ซึ่งเป็นระบบมอเตอร์นาฬิกา มีการผลิตในปริมาณน้อยตั้งแต่ ปี 1938 จนถึงหลังสงคราม มอเตอร์นี้มีความแข็งแรงและเที่ยงตรง ซึ่งสามารถเลื่อนภาพได้ 12 ภาพ ในการหมุน 1 รอบของสปริง ใช้เวลาประมาณ 9 วินาที ซึ่งมีที่นับภาพและส่วนต่อด้านนอก สำหรับกดชัตเตอร์
มอเตอร์บางตัวมีปุ่มสำหรับเลือกความเร็วของการหมุนได้ 2 ระดับ ซึ่ง LEICA IIIc รุ่นหลัง ได้ผลิตปุ่มสำหรับลั่นชัตเตอร์ภายในด้วย ในตอนเริ่มแรกมอเตอร์ได้ผลิตสำหรับกล้องลำตัวสั้นรุ่น III, IIIa และ IIIb ในระยะหลังได้ผลิตสำหรับกล้องลำตัวยาว รุ่น IIIc ด้วย ซึ่งในการผลิตเป็นสีเงิน และผลิตสีดำเป็นพิเศษสำหรับรุ่น IIIc ฉะนั้นจะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างออกไป
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_03.jpg)
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_04.jpg)
จากบนไปล่าง, ฐานล่าง “SCNOO” สำหรับ IIIa และ IIIb,”LEICAVIT” สำหรับ IIIc, “LEICAVIT MP” สำหรับ MP M1 และ M2, MOOLY สำหรับ IIIc
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_05.jpg)
“MOOLY” มีความเร็ว 2 ระดับ
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_07.jpg)
“MOOLY” แสดงชิ้นส่วนภายใน
อุปกรณ์ขึ้นฟิล์มแบบเร็วชื่อว่า LEICAVIT สร้างหลังสงคราม มีความคล้ายคลึงกับรุ่น SCNOO ก่อนสงคราม ซึ่งสร้างขึ้นให้สามารถใช้ได้กับกล้องทุกรุ่นที่เป็นลำตัวยาวของ IIIc No. 400000 ขึ้นไปมีรหัสว่า SYOOM ซึ่งมีความโค้งมนมากกว่ารุ่นก่อน และ ที่ลั่นไกถูกเก็บไว้อย่างดีในฐาน LEICAVIT MP รุ่นใหม่ได้สร้างขึ้นสำหรับ LEICA MP ในช่วงหลังถูกใช้ให้เป็นอุปกรณ์สำหรับ M2 และ M1 และใช้รหัสว่า SMYOM
มอเตอร์ไดร์ฟระบบไฟฟ้าสำหรับ LEICA เป็นเรื่องเก่าตามปกติ Leitz เป็นบริษัทแรกๆ ที่มีการริเริ่ม มอเตอร์ไดรฟ์ไฟฟ้าและมีกล้องที่เหมาะสมสำหรับทดลองนี้คือ รุ่น LEICA 250 ก่อนและระหว่างสงครามมีการผลิตมอเตอร์ไดร์ฟสำหรับขาย ซึ่งเปลี่ยนกับฐานตัวกล้องและรับพลังงานงานจากภายนอก มีมอเตอร์หลายแบบ คือ 6 โวลท์, 12 โวลท์, 24 โวลท์ สำหรับรุ่น 6 โวลท์ โดยมากผลิตสำหรับกองทัพเป็นกล้องระวังภัย สามารถทำงานโดยอาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่รถมอเตอร์ไซด์ ในกรณีนี้กล้องต้องได้รับการดัดแปลงให้มีแกนประกอบกับปุ่มกดชัตเตอร์ภายใน
กล้อง LEICA 250 ที่มีระบบเคลื่อนฟิล์มไฟฟ้า สามารถใช้ในเครื่องบินทั้งแบบอัตโนมัติกับแบบวงซึ่งมีมอเตอร์ไดรฟ์มีปุ่มสำหรับขับฟิล์มต่อเนื่องหรือเลื่อนทีละรูป
มอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับรุ่น 250 ได้รับการผลิตแรกเริ่มมีที่ลั่นชัตเตอร์ภายนอกเหมือน MOOLY รุ่นหลังเป็นที่ลั่นชัตเตอร์ภายในเหมือนมอเตอร์นาฬิกาในรุ่น LEICA IIIc กล้องที่ดัดแปลงสำหรับมอเตอร์ไดร์ฟมีวงล้อเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการสัมผัสของฟิล์มกับแผ่นกดฟิล์ม เป็นเรื่องปกติสำหรับมอเตอร์ที่มีตัวเลขของกล้อง และใช้กับมอเตอร์นั้นอยู่บนแผ่นปะกบนอกเหนือจากเลขของมันเอง
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_06.jpg)
มอเตอร์แบบลานนาฬิการุ่นแรกๆ
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_08.jpg)
LEICA 250 กับมอเตอร์ไฟฟ้า
หลังสงคราม มีความต้องการของนักหนังสือพิมพ์กับกลุ่มอื่นที่จะให้ Leitz ผลิตมอเตอร์ไดร์ฟให้เหมาะสมกับกล้อง Leitz ก็ไม่ได้กระตือรือล้นในตอนต้น แต่ก็ได้มีคำตอบในทางปฏิบัติมาจากอเมริกา ตอนแรกได้ดัดแปลง M2 ต่อมาดัดแปลง M4 หลังจากนี้ผลปรากฏว่ามอเตอร์ไดร์ฟ เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมสำหรับกล้อง LEICA จึงมีการผลิตโดย Leitz ที่ New York โดยตัวกล้องทำเป็นพิเศษใน Wetzlar ส่วนมากเป็นรุ่น LEICA M4 แต่ก็มี LEICA M2 บ้าง โดยจะมีเครื่องหมาย M2-M, M4-M หรือ M4 MOT มอเตอร์ของอเมริกามีความกะทัดรัดมากสามารถติดตั้งได้ตัวกล้อง อีกทั้งมีแบตเตอรี่แพค และสามารถปรับความเร็วได้ 2 ระดับ
สำหรับ MP2 ได้มีการออกแบบระบบมอเตอร์นอกเหนือจาก LEICAVIT ซึ่งต้นแบบบางตัวทำที่ Wetzlar โดยมีที่ใส่แบตเตอรี่เป็นแท่ง (ดังรูป) ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญของ Leitz ได้ยุ่งอยู่กับการออกแบบมอเตอร์สำหรับ LEICAFLEX ได้ทดลองสร้างต้นแบบขึ้น แต่ไม่ได้ลงในสายการผลิตเนื่องจากหลังจากที่ตัวกล้องได้รับการดัดแปลงนั้น มีความต้องการกล้องในรุ่นต่อไป ฉะนั้นมอเตอร์ไดร์ฟของ Leitz ตัวแรก คือ LEICAFLEX SL.
ข้อได้เปรียบของ SL MOT คือสามารถถอดเปลี่ยนได้โดยไม่ส่งผลต่อฟิล์ม และสามารถเปลี่ยนฟิล์มได้โดยไม่ต้องถอดไดร์ฟออก รังถ่านก็มีหลายชนิดสามารถเปลี่ยนได้ง่าย รังถ่านมีตั้งแต่ชนิดใช้กับถ่าน AA จนถึง nickel-cadmium ที่ประจุไฟใหม่ได้ หรือสามารถต่อสายกับแหล่งพลังงานภายนอกที่ใหญ่ก็ได้ มอเตอร์ไดร์ฟของ LEICAFLEX มีความทนทานและความเร็วสูง เนื่องจากต้องการกำลังเพิ่มในการเคลื่อนกระจกสะท้อนภาพ ผู้ผลิตได้ประกันความเร็วที่ 4 รูปต่อวินาที แต่ 5 รูปต่อวินาที ก็สามารถทำได้ถ้ามีแบตเตอรี่ที่ดี มอเตอร์ของ LEICA มี 2 แบบ รุ่นแรกไม่สามารถเคลื่อนทีละภาพได้ แต่ต่อมามีปุ่มเลือกระบบขับเคลื่อนฟิล์มได้
มอเตอร์ไดร์ฟ ทำให้กล้องมีคุณค่ามากขึ้นสำหรับนักถ่ายภาพกีฬาหรืองานทางเทคนิค เช่น ถ่ายการทดลองการชนกันของรถ เครื่องควบคุมการทำงานระยะไกลก็เป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่คู่กับมอเตอร์ไดร์ฟ โดยการกดชัตเตอร์อัตโนมัติหรือใช้สัญณาณวิทยุระยะไกล ซึ่งระบบนี้มีประโยชน์มาก เนื่องจากในระยะแรกที่เครื่องควบคุมระยะไกลแบบกลไกจำเป็นต้องใช้สายที่มีสีต่างกันเพื่อกันการผิดพลาด
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_09.jpg)
ไลก้า M4-M กับ ELeitz New York Motor
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_10.jpg)
ด้านบนตัวกล้องของ LEICA M2-M, M4-M, M4-MOT จากล่างขึ้นบน แสดงจุดสัมผัสไฟฟ้า
อุปกรณ์คู่พิเศษชนิดหนึ่งได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ LEICAFLEX SL MOT 2 ตัว สามารถใช้งานคู่กัน โดยสามารถถ่ายภาพได้ 6-7 ภาพต่อวินาที LEICAFLEX SL2 MOT ก็สามารถใช้มอเตอร์เดียวกันและใช้อุปกรณ์คู่พิเศษได้
ในปลายทศวรรษที่ 70 กล้องใหม่ๆ ที่ออกมา จะต้องสามารถติดมอเตอร์ไดร์ฟได้กล้อง rangefinder ตั้งแต่รุ่น M4-2 เป็นต้น สามารถติดไวน์เดอร์ไดร์ฟ โดยใช้เขี้ยวภายในมีหมายเลขประจำตัว 14214 ใช้พลังจากถ่าน AA 4 ก้อน หลังจากนั้นมอเตอร์รุ่นที่ 2 ก็ตามออกมาโดยมีลักษณะคล้ายกันและสามารถเปลี่ยนทดแทนกันได้แต่มีระบบอิเลคโทรนิคภายในทำให้ทำงานดีขึ้น และสามารถถ่ายต่อเนื่องได้ (รุ่นแรกต้องกดชัตเตอร์ทุกรูป) ท้ายสุดออกมาพร้อม M6 ได้ผลิตให้มีรูสำหรับขาตั้งกล้องซึ่งมีเกลียว ¼ นิ้ว
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_11.jpg)
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_12.jpg)
TANDEM LEICAFLLEX
กล้องแบบ Single Lens Reflex ก็มีมอเตอร์ไดร์ฟเช่นกัน โดยรุ่น R3 มีมอเตอร์ไดร์ฟรุ่นพิเศษ ซึ่งสามารถถ่ายได้ด้วยความไวถึง 2 รูปต่อวินาที โดยใช้ถ่าน AA 6 ก้อน รวมทั้งยังมีมือจับ ระบบรองรับขาตั้งกล้องรีโมท คอนโทรล และมีที่นับจำนวนภาพ และสามารถตั้งโปรแกรมหน่วงระหว่างภาพได้
ทั้ง LEICA R4 และ LEICA R4-3 ได้ถูกออกแบบให้รองรับได้ทั้งไวน์เดอร์ หรือ มอเตอร์ไดร์ฟ ซึ่งจุดสัมผัสของระบบไฟฟ้าของ LEICA R4 มีความง่ายกว่า LEICA R3 คือ มี 3 จุด (LEICA R3 มี 4 จุด) ไวน์เดอร์ใช้ถ่าน AA 6 ก้อน ความเร็ว 2 ภาพต่อวินาที มีขนาดเล็กกว่าและเบากว่าส่วนมอเตอร์ไดร์ฟใช้ถ่าน AA 10 ก้อน สามารถเลือกความเร็วได้คือ แบบทีละภาพ หรือต่อเนื่อง 2 ภาพ ต่อวินาที หรือต่อเนื่อง ประมาณ 4-5 ภาพต่อวินาที ระบบอิเลคโทรนิคในตัวมอเตอร์มีความน่าสนใจที่ว่าเมื่อมอเตอร์ไดร์ฟติดกับกล้องจะไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ในตัวกล้อง ซึ่งสะดวกกว่าโดยเฉพาะในกรณีถ่ายภาพในที่เย็น
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_13.jpg)
มอเตอร์ไดร์ฟรุ่นใหม่ เล็กและเบากว่า สามารถติด้ามจับได้
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_14.jpg)
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_15.jpg)
มอเตอร์ไดร์ฟของ R4
กล้อง Leica 3 มิติ
การถ่ายภาพเพื่อให้ได้ภาพ 3 มิติ นั้นมีความนิยมในสมัยหนึ่ง Leitz ได้ผลิตอุปกรณ์บางชิ้นในการนี้ ที่ง่ายที่สุด คือ Stereo slide bar มีรหัสว่า FIATE ทำในปี 1929 เป็นคานยาว 150 มม. สามารถติดกับขาตั้งกล้องได้ และมียางเลื่อนซึ่งใช้ติดกล้องจึงสามารถถ่ายภาพแล้วเลื่อนกล้องไปประมาณ 70-75 มม. แล้วถ่ายอีกภาพหนึ่งของวัตถุเดียวกัน แล้วใช้กล้อง 2 ตา ส่องดูจะได้ภาพ 3 มิติ ที่แท้จริง เนื่องจากถ่ายจากระยะห่างเท่ากับระยะห่างของตา 2 ข้าง แต่การใช้งานสามารถถ่ายเฉพาะภาพนิ่งได้
กล้อง Dopple ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ แต่ไม่ได้รับการผลิตอย่างไรก็ตาม กล้องต้นแบบนี้ก็เป็นกล้องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ในการถ่ายภาพในลักษณะถ่ายคู่ ในการผลิต Stereoly attachment ประกอบด้วยปรึซึมคู่ต่อเข้ากับเลนส์ 50 มม. ทำให้เกิดภาพขนาด 18 x 24 มม. 2 ภาพ บนฟิล์มขนาด 24 x 36 มม. แล้วใช้ที่ส่องพิเศษดู รหัสของ Stereoly นี้คือ VORSA และที่ส่องคือ VOTRA
หลายปีต่อมา ในคานาดามีการสร้างระบบ Stereo แบบใหม่ที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งมาจากความสนใจในการถ่ายภาพ Stereo และความนิยมฟิล์มสีสามารถฉายลงบนจอโดยผ่านฟิลเตอร์โพลาไรซ์แล้วส่องดูด้วยแว่น โพลาไรซ์
มีอุปกรณ์ชิ้นใหม่เรียก Stermar ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเลนส์ 2 เลนส์ ในเมาท์เดียวกัน ไม่ใช่อุปกรณ์ เลนส์ ตัวอย่างตัวแรกทำในเยอรมัน ก่อนสงครามมีความยาวโฟกัส 35 mm. f2.5 หรือ f3.5 มีอีกชนิดคือ 33 mm. f3.5 ซึ่งเลนส์เหล่านี้เป็นรุ่นเมาท์เกลียว แต่หลังจากไปผลิตที่ Canada จึงจะมีให้เลือกทั้งแบบเกลียวกับแบบเขี้ยวและทำแต่เฉพาะ 33 mm.
อุปกรณ์นี้สามารถใช้ได้โดยตัวมันเองสำหรับการถ่ายภาพระยะใกล้ หรือ ใช้ระบบปริซึมเสริม (ไม่เหมือน Stereoly) ซึ่งจะเพิ่มระยะระหว่างเลนส์ทั้งสองทำให้ภาพดูมีความลึกมากขึ้นสำหรับถ่ายภาพระยะไกลกว่า 10 ฟุต ขึ้นไป
อุปกรณ์นี้ถูกเพิ่มความสมบูรณ์โดยวิวไฟน์เดอร์ ซึ่งมีระยะแนวตั้งที่ถูกต้อง และมีเลนส์โปรเจคชั่นเรียก HEKTORซึ่งมีแว่นโพลาไรซ์สำหรับส่องดูภาพ Stemar จากคานาดาประกอบด้วยเลนส์คู่กลุ่มของปรึซึมเพื่อขยายฐาน Stereo สำหรับถ่ายระยะไกล มีวิวไฟน์เดอร์พิเศษและ Hood เลนส์และยังมีที่ส่อง Stereo ทำจากพลาสติกสีดำ และมีกล่องแบตเตอรี่สำหรับให้แสง
กล้องต้นแบบของเลนส์ 90 mm. คู่ได้สร้างขึ้นมาแต่ไม่ได้เข้าสายการผลิต แต่ยังได้สร้างบางตัวขึ้นเพื่อใช้งานของ Leitz ซึ่งทำงานได้อย่างดี
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_16.jpg)
ชุดถ่ายภาพสามมิติของไลก้า ประกอบด้วย “VOTRA”, “FLATE”, “VORSA”
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/09/Leica-ep-10_17.jpg)
“Stema” สำหรับกล้องรุ่น M