เรื่อง+ภาพ : eyejung

บทความนี้มาจาก Camerart Magazine ฉบับ 246/2018 March

กลับมาต่อเนื่องในตอนที่สองของการเดินทาง กับการการตะลุยดินแดนสะวันน่า กับการไปเที่ยวพื้นที่ทุ่งหญ้ากลางทะเลทราย ฉบับนี้เราจะออกไปตามหาสัตว์ป่ากันบ้าง เพราะอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ไม่เห็นสัตว์อย่างในแอฟริกา ที่เห็น…เป็นสิ่งมีชีวิต…ก็มีแค่พวกเราเนี่ยแหละ อิอิ… และนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ บ้างเล็กน้อย แม้จะเป็นช่วงเทศกาล แต่เหมือนพวกเรามาปลีกวิเวก ตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นช่วงๆ เพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์นั้นเอง  555…

ลงจากเขาไข่นุ้ยจังหวัดพังงา…ปลายทางจริงๆ จุดหมายที่เราตั้งใจไว้ เราจะไปตามล่าหาช้างป่ากันที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรีเราล่าด้วยกล้องถ่ายภาพเท่านั้น ไม่ได้ล่าอย่างที่กำลังเป็นข่าวดัง แต่ดูแล้วก็อย่างที่รู้กันว่า…นี่คือเมืองไทย กฎหมายจะศักดิ์สิทธิ์กับเฉพาะคนไม่มีเงินเท่านั้น แม้ผู้รักษากฎหมายจะถูกวิพากษ์วิจารณ์แค่ไหนก็หาทำให้พวกท่านสะทกสะท้านไม่ เรื่องศักดิ์ศรีความถูกต้องไม่ต้องพูดถึงกับคนที่มีเงิน และคนถือกฎหมาย เป็นอันว่าเข้าใจตรงกัน ว่าที่นี่คือประเทศไทยนะ

จากพังงาขับตรงไปประจวบคีรีขันธ์ มันก็ดูจะยาวนานไปหน่อย เลยขอลองขึ้นมาเพื่อหาจุดหมายเที่ยวระหว่างทางด้วยจังหวัดที่หมายตาไว้…คือจังหวัดชุมพร ไม่ได้ดูว่ามีแหล่งท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจ ที่เลือกเพราะจะแวะเยี่ยมเพื่อน และตัวคนจัดยังไม่เคยมาเท่านั้นจริงๆ เมื่อตันสินใจมาแล้วสิ่งที่ค่อยมาหา คือว่า…จะเที่ยวไหนดี งานนี่เพิ่งอากู… และที่พึ่งที่ดีที่สุด ซึ่งให้คำตอบ และแนะนำแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ก็คือ คุณนิ้ง บ้านนิ้งอิน รีสอร์ท ที่พักน่ารักในราคาน่ารักอีกเช่นกัน และที่สำคัญคือไม่ห่างจากทุ่งวัวแล่น ที่เราตั้งใจจะมาเก็บแสงเช้ากันแต่ก่อนถึงแสงเช้าก็ต้องเก็บแสงเย็นกันก่อน แต่จากประสบการณ์เมื่อวานโดนฝนกันซ่ะชุ่มฉ่ำ ก็ต้องลุ้นว่าที่ชุมพรจะได้ภาพแสงเย็นไหม เพราะตั้งแต่มาเจอฝนตกตอนเย็นทุกวันเลย ทั้งที่ก่อนเรามาเป็นฤดูร้อนเช็คคนพื้นที่บอกไม่มีฝน ร้อนมาหลายเดือนแล้ว แต่แก็งค์โสดเราไปที่ไหนก็ฝนตกที่นั้น จนกลัวว่าทั้งแก็งค์จะโดนจับแห่แทนนางแมวแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า….

เป้าหมายแรกของแหล่งท่องเที่ยวที่เราจะมาเยือนชุมพร คือ เขามัทรี แต่อย่าถามว่ามาอย่างไงนะ เพราะเปิด GPS นำทางมาผ่าเข้าหมู่บ้านคนลัดเลาะกันมาเรื่อย ใช้เส้นทางเดียวกันกับหาดทรายรี จะมีป้ายบอกทางขึ้น ไปยังจุดชมวิวเขามัทรี ให้ชิดซ้ายจะเห็นรถจอดยาว มีเจ้าหน้าที่มาปล่อยรถขึ้นเป็นช่วงๆ จนเราคิดว่าสงสัยทางจะชันมาก คงไม่อยากให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปจำนวนมากๆ บางท่านคิดว่ารอคิวอะไรนานๆ พยามขับแซงมาเพื่อมาเบียดเอาข้างหน้า ตามนิสัยคนที่ชอบแซงคิว มาที่นี่ทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ เจ้าหน้าที่ไล่ให้ไปลงที่หาดทรายรีเลย แล้วถ้าอยากขึ้นไปจุดชมวิวให้วนขึ้นมารอคิวใหม่ ต้องบอกว่าดัดนิสัยพวกชอบแซงคิวได้ดีที่เดียว 555.. และในที่สุดก็ถึงคิวเราแล้ว รีบถามเจ้าหน้าที่เลยว่าทางชันมากไหม เจ้าหน้าที่บอกว่าชันแต่ไม่อันตรายอะไร ที่กักรถไม่ให้ขึ้นไปทีเดียว เพราะพื้นที่ด้านบนที่จอดรถมีจำนวนจำกัด เจ้าหน้าที่จะเช็คก่อนว่ามีที่ว่างจอดได้กี่คัน ถึงจะปล่อยรถขึ้นไปได้ เรียกว่าช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยได้อย่างดีมาก 

เราขึ้นมาถึงเขามัทรีช่วงบ่ายสามโมงกว่า แดดกำลังดี เขามัทรี…เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกจุดหนึ่งของจังหวัดชุมพร เราจะได้เห็นวิวแบบ 360 องศา สามารถมองเห็นชุมชนปากน้ำชุมพรและชายหาดของทะเลชุมพร ช่วงยามเย็นจะมีนักท่องเที่ยวมากมายขึ้นมาชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งครั้งนี้เราคงจะพลาด เพราะจากแดดจ้าๆ ลมก็พัดแรง ฟ้าก็มืด ตอนนี้ทุกคนมองอย่างเดียวว่าจะหลบฝนตรงไหน หรือจะเสี่ยงวิ่งไปที่รถก็ต้องลงบันไดไปเกือบ 100 ขั้น ถ้าฝนตก คงไม่มีที่หลบแน่ๆ อาคารที่สามารถหลบฝนได้เห็นจะเป็นใต้ที่ตั้งพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปางมหาราชลีลา ลักษณะคล้ายกับท่านั่งขององค์จตุคามรามเทพมองออกไปที่ชายทะเลชุมพร ด้านขวาเป็นหาดภราดรภาพ มองจากบนเขาเห็นชุมชนปากน้ำชุมพร และชายหาดปากน้ำชุมพรเป็นชุมชน เหมือนนั่งเฝ้ามองชุมชนชาวปากน้ำชุมพร ตอนนี้พวกเราเลยมานั่งรอว่าฝนจะตกหรือไม่ตก แต่ก็ไม่ยอมตกซักทีจนต้องเสี่ยงลุ้นวิ่งลงมา เพราะนัดหมายกับเพื่อนที่ชุมพรไว้  เจอกันทักท้ายตามประสาคนคิดถึง เข้าที่พัก เจ้าของรีสอร์ทของเราใจดีพาไปถ่ายภาพสะพานปลาใกล้รีสอร์ท แล้วไปหาข้าวทานแถวทุ่งวัวแล่น ในรอบหลายวันที่ผ่านมาเพิ่งเจอคนเยอะก็วันนี้แหละ บรรยากาศของการอยู่ในเทศกาลท่องเที่ยว ที่แย่งกันกินแย่งกันเที่ยวพวกเราก็เพิ่งได้สัมผัส เพราะอยู่เงียบๆ มาหลายวัน

กลับเข้ามาที่พักเตรียมตัวพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เราจะออกกันแต่เช้าอีกเช่นเคย กะว่าจะไปลุ้นเก็บดาวที่หาดทุ่งวัวแล่น และเก็บแสงเช้า ก่อนจะออกไปตามล่าช้างป่ากันที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ออกเดินทางกันแต่ตีห้าอีกเช่นเคย วิถีช่างภาพ นอนดึกตื่นเช้า แต่ก็แห้วตามระเบียบ เพราะใกล้วันที่พระจันทร์ใกล้โลกที่สุด แสงจันทร์ของเราเลยกลบแสงดาว ทางเลือกของเราตอนนี้ลุ้นว่าจะได้พระอาทิตย์ลูกกลมโตไหม๊ และระหว่างรอก็อ่านประวัติทุ่งวัวแล่นว่ามีที่มาที่ไปอย่างไง หาดทุ่งวัวแล่น เป็นหาดที่มีชื่อเสียงมายาวนานของจังหวัดชุมพร ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ชื่อของหาดทุ่งวัวแล่นนั้น ตามประวัติว่ากันว่าบริเวณพื้นที่เดิมแห่งนี้ เป็นป่าใหญ่ติดชายทะเล ไม่ค่อยมีผู้อาศัยอยู่ มีสัตว์ป่าชุกชุม จึงทำให้นายพรานเข้ามาล่าสัตว์อยู่สม่ำเสมอ วันหนึ่งมีนายพรานได้ยิงวัวป่าขนาดใหญ่ล้มลง แต่ต่อมาได้ลุกขึ้นวิ่งหนีไปได้ พรานเหล่านั้นจึงได้สะกดรอยตามไปและล้อมยิงซ้ำจนกระทั่งวัวตัวนั้นตาย ขณะที่พรานช่วยกันถลกหนังได้ครึ่งตัว วัวป่าตัวนั้นกลับลุกขึ้นวิ่งเข้าป่าหายไปทันที จากเหตุการณ์ครั้งนี้ พวกพรานจึงได้เล่าต่อๆ กันไป ทำให้ผู้คนเรียกบริเวณนี้ว่า “ทุ่งวัวแล่น” ปัจจุบัน มีการสร้างวัวกระทิงขนาดใหญ่ไว้หน้าหาด เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของหาดทุ่งวัวแล่น และอีกหนึ่งหนึ่งสัญลักษณ์ คือ ต้นมะพร้าวเอน ดูจากป้ายแนะนำการท่องเที่ยวทุ่งวัวแล่น แต่พวกเรายังหากันไม่เจอ เพราะชายหาดยาวตั้ง 3 กิโล ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี แถมยังมืดมาก จนไม่มีใครให้ถาม ได้แต่นั่งรอเวลา ฟ้าอึมครึมมาเชี่ยว…. แหม่…คณะเรียกฝนของเรามือไม่ตกเลยเนอะ ไปไหนฝนก็ตั้งเค้า ดูท่าแสงเช้าเราจะต้องกินแห้วเป็นอาหารเช้าอีก แง่มๆ…. เมื่อจะพลาดแสงเช้าแล้ว ขอเก็บภาพ Landscape ต้นมะพร้าวเอนสักหน่อยจะได้ไม่เสียโอกาสที่อุตส่าห์มาถึงทุ่งวัวแล่น ถามคนกวาดถนนว่าต้นมะพร้าวเอนมันอยู่ตรงไหน ได้คำตอบว่าไม่รู้มีด้วยเหรอ 555… เอาแล้วไง หรือว่ามันจะไม่มีแล้ว เอาน่าลองถามอาสาสมัครแถวนั้น ตะโกนถามกันวุ่นวายว่ารู้ไหมต้นมะพร้าวเอนมันอยู่ตรงไหนของหาด เริ่มคิด และสงสัยมันคงไม่มีแล้วจริงๆ แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง เพราะเจ้าหน้าที่อีกท่านเดินมาบอกว่าเดินขึ้นไปอีก 300 เมตร อยู่ตรงข้ามตะวันรีสอร์ท เราเลยมองหน้ากันว่ามันใกล้แค่นี่ ทำไมคนท้องที่กับไม่รู้จัก สงสัยจะชินตาจนไม่เคยสังเกต

มาถึงต้นมะพร้าวเอน ที่ดูถ้าว่าจะหายไปแบบไม่เหลือให้เห็นในอีกไม่นาน เพราะคลื่นซัดแรงมาก จนรากหลุดและน่าจะอีกไม่นานต้นน่าจะล้ม ถ่ายต้นมะพร้าวเอนได้อย่างสมใจ แสงพระอาทิตย์ก็ส่องขึ้นหน้าต้นมะพร้าวพอดี ชาวบ้านในระแวกนั้นเห็นพวกเราถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้น เลยหยิบโทรศัพท์มาเก็บภาพกันบ้าง บางครั้งอะไรที่เราเห็นอยู่ใกล้ตัวทุกๆ วัน จนเรามองว่ามันธรรมดา พระอาทิตย์ก็ขึ้นอย่างนี้ทุกวัน จนหลงลืมที่จะให้ความสนใจ เหมือนกับชีวิตของคนเราที่อะไรใกล้ตัวมักไม่ค่อยใส่ใจ 

จากทุ่งวัวแล่น… ได้เวลาเตรียมตัวออกล่าช้างป่ากันได้แล้วจากชุมพรเรามุ่งหน้าสู่ประจวบคีรีขันธ์ แวะที่อ่าวมะนาวนิดหนึ่งเพื่อหาอาหารเที่ยงทาน แต่ด้วยการจราจรที่ไม่ติดขัด อาจจะเพราะหลายคนเริ่มทยอยกลับกันไปบ้างแล้ว มาถึงอ่าวมะนาวแดดจ้าแบบมีหมอกอากาศ เลยถ่ายภาพอะไรไม่ค่อยสวย ผู้ร่วมทีมเสนอให้ไปเขาล้อมหมวกเพื่อไปถ่ายค่างแว่น ค่างแว่นที่นี่ค่อนข้างคุ้นเคยกับคนมาก นักท่องเที่ยวสามารถให้อาหาร ถ่ายภาพคู่กับมันได้เลย อาจจะเพราะอยู่ในพื้นที่ทหาร ซึ่งปลอดภัยจากนักล่าสัตว์ พวกค่างแว่นเลยรู้สึกปลอดภัยและออกมาเล่นกับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นกันเอง ยิ่งลูกค่างแว่นถิ่นใต้ ช่วงตอนเด็ก จะมีขนสีเหลืองทอง สะดุดตา พอโตขึ้นมาขนจะกลายเป็นสีเทา และมีวงกลมรอบตา เหมือนกับใส่แว่น ยิ่งตอนมันแย่งกันเลี้ยงลูก ยิ่งโคตรน่ารักเลย นั่งมองกันเพลินตกลงมันลูกของตัวไหนกันแน่ 555…

นอกจากค่างแว่น บริเวณนี้ก็มีนกให้ถ่ายค่อนข้างเยอะ หรือใครอยากออกกำลังกาย ก็สามารถเดินขึ้นพิชิตเขาล้อมหมวก เพื่อไปชมจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมืองประจวบคีรีขันธ์ ต้องขอบอกว่าสำหรับขาลุยตัวจริงเท่านั้น และปัจจุบันเขาล้อมหมวกเปิดให้เหล่านักท่องเที่ยวทั้งหลายได้ไต่ระดับพิชิตความสูง โดยกำหนดเปิดให้ขึ้นเขาล้อมหมวกเฉพาะวันหยุดเทศกาลเท่านั้น ใครอยากไปพิชิตเขาล้อมหมวกชมวิว 360 องศา ขุนเขาแห่งเมืองสามอ่าว ต้องเช็คตารางปฏิทิน 2561 พิชิตยอดเขาล้อมหมวก กับกิจการพลเรือน กองบิน 5 ก่อนไปนะคะเหล่าขาลุย ส่วนเราสายชิลเดินบริเวณด้านล่างเขาล้อมหมวกก็วิวสวยพอแล้ว อิอิ…

จากเขาล้อมหมวกได้เวลาไปตามล่าช้างป่าที่กุยบุรีกันบ้างแล้ว ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่เราไม่ต้องเข้าไปถึงอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ใช้ถนนสายเพชรเกษม มาจากกรุงเทพฯให้เลี้ยวขวา มาจากสายใต้ให้เลี้ยวเข้าทางหลวงหมายเลข 3217 ถนนสายกุยบุรี-บ้านยางชุม ระยะทาง 14.8 กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านยางชุม จากนั้นให้เลี้ยวขวาไปตามถนนป้ายบอกทางชมช้างป่า 8 กิโลเมตร และให้เลี้ยวซ้ายอีกครั้งระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร สังเกตวิ่งไปชื่อหมู่บ้านร่วมไทย ก็จะถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานจุดตรวจห้วยลึก อุทยานแห่งชาติกุยบุรี

หน่วยพิทักษ์อุทยานจุดตรวจห้วยลึก อุทยานแห่งชาติกุยบุรีเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบซาฟารี และอนุญาตให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในพื้นที่โซนบริการ ให้สร้างที่พัก สร้างศูนย์จัดแสดงนิทรรศการนานาชาติ ทำเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ และสร้างทุ่งหญ้าแหล่งอาหารสัตว์ เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า สร้างฝายเก็บน้ำ เพื่อคืนธรรมชาติจนเกิดความสมดุลทำให้ช้างและสัตว์ป่ามีอาหารเพียงพอ ไม่ออกมารบกวนชาวบ้านและทางอุทยานอนุญาตให้ชาวบ้านที่เคยได้รับผลกระทบจากช้างป่า จัดตั้งชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรี เพื่อนำรถไปบริการรับนักท่องเที่ยวเข้าชมช้างป่าและสัตว์ป่าอื่นๆ มีไกด์ท้องถิ่นคอยดูแลตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย จะมองเห็นได้ไกลแต่ปลอดภัย

จากทุ่งหญ้าสะวันน่า เราก็เดินทางมาสู่ซาฟารี ของกุยบุรีเพื่อมาทำการเปลี่ยนรถ โดยค่ารถอยู่ที่ 800 บาท นั่งได้ 1-8  ท่าน ค่าเข้าอุทยานอีกคนละ 40 บาท มีเจ้าหน้าที่คอยควบคุม และจัดไกด์ให้แต่ละกรุ๊ปนักท่องเที่ยว การเข้าไปดูช้าง จะสามารถเข้าได้ตั้งแต่ช่วงบ่ายสองโมง และต้องออกมาภายในหกโมงเย็น เมื่อจ่ายค่าธรรมเนียมเสร็จ นักท่องเที่ยวต้องเดินเหยียบน้ำยาฆ่าเชื่อก่อนที่จะขึ้นรถ เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะนำเขาไปสู่ป่า จากนั้นไกด์จะเป็นผู้บอกคนขับรถว่าจะไปยังจุดใดก่อน โดยจะมีวิทยุสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ว่าจุดใดช้างออกบ้าง ก็จะนำนักท่องเที่ยวเข้าไป ซึ่งการเข้าไปในแต่ละครั้งก็ต้องลุ้นเอาว่าจะเจอช้างไหม เพราะก่อนหน้าที่เรามาเจ้าหน้าที่บอกว่านักท่องเที่ยวไม่เจอช้างเลย อาจจะเพราะนักท่องเที่ยวมีมากเกินไปช้างเลยไม่ยอมออกมา แก็งค์เราก็ได้แต่ลุ้นว่าจะเจอช้างไหม ซึ่งต้องบอกว่าโชคดีมากเพราะจุดแรกช้างออกถึง 6 ตัว แม้จะเห็นไกลๆ แต่ก็ดีใจแล้ว เจ้าหน้าที่พาไปยังจุดที่สอง เจอช้างแม่ออกมาหาอาหาร ก่อนจะเดินหายไปในป่า จากจุดที่สองเจ้าหน้าที่ประจำจุดวิทยุมาว่ามีช้างออกกำลังลงเล่นน้ำ พวกคณะเราเลยรีบตามไปดู เสียดายพวกมันกำลังขึ้นจากน้ำแล้ว มีนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติค่อนข้างเยอะมาแล้วก็มีวิทยุมาบอกว่าช้างออกมาอยู่ข้างทาง ซึ่งจุดที่อยู่ข้างทาง เจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวลงจากรถไปเก็บภาพ แต่ให้เก็บภาพได้อยู่บนรถ และจุดสุดท้ายคือจุดหน้าผา เป็นที่จุดที่ช้างจะออกมาจำนวนมาก บางครั้งเราจะเห็นกระทิงออกมาด้วย แต่จุดนี้ค่อนข้างอยู่ในระยะที่ไกลมาก เราจะเห็นช้างตัวเท่ามดเลย 555… คงต้องแบกเลนส์เทเลสัก 1000 มล. ถึงจะเก็บภาพได้แบบเต็มเฟรม บ่ายเริ่มค้อยนักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกลับ พวกเรานั่งรอลุ้นว่าจะเจอกระทิงไหม๊ เพราะนั่งดูช้างนานแล้ว ไกด์บอกว่ากระทิงนี้จะออกเย็นๆ หลังหกโมงไปแล้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะได้เห็น เพราะเราต้องออกจากเส้นทางศึกษาธรรมชาติก่อน 6 โมงเย็น เมื่อไม่เป็นอย่างที่คิดพวกเราเลยจำเป็นต้องเดินทางกลับ ระหว่างทางเจอช้างอยู่ข้างทางกำลังหักต้นไม้เล่นกันอยู่ เลยสอบถามลุงคนขับรถว่ายังมีช้างไปบุกพืชไร่อยู่ไหม คุณลุงก็บอกว่ายังมีบ้าง ถึงจะล้อมรั้วไฟฟ้า แต่ช้างมันฉลาดมันเอาต้นไม้ไปพาดกับรั้วไฟฟ้าจนขาด แล้วลงไปกินพืชไร่ แต่ดีที่มีโครงการเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบซาฟารี ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ และยังช่วยกันดูแลช้างป่าด้วย จัดว่าเป็นการจัดการความขัดแย้งที่ชาญฉลาดแถมยังสร้างรายได้ให้กับชุมชน ก่อนกลับเราก็เจอฉากฟินาเล่ ช้างเดินเข้ามาในระยะไม่ถึง 10 เมตร ไกด์รีบบอกให้พวกเรารีบขึ้นรถ แต่เรามั่วตกตะลึง วิ่งชนกันไปมาจนช้างเดินหายเข้าป่าไป  เป็นการจบทริปที่ลุ้นระทึกกันสุดๆ มีเรื่องให้ได้จดจำ และค้นพบอะไรใหม่ๆ แม้กระทั้งตัวเราเอง บางบทเรียนสอนกันไม่ได้  ต้องเจอกับตัวถึงจะเข้าใจ ว่าเจอช้างป่าต้องวิ่งให้เร็วที่สุด 555…

* บ้านนิ้งอิงค์ รีสอร์ท 08-9889-4065

* หน่วยพิทักษ์อุทยานจุดตรวจห้วยลึก อุทยานแห่งชาติกุยบุรี 08-5266-1601

* หัวหน้าหนู 08-4339-6670