เรื่อง+ภาพ : นายจักรยาน

วางแผนเดินทางถ่ายภาพ

ผมมีแผนการจะไปเก็บภาพที่อุทยานราชภักดิ์ผมออกเดินทางจาก กทม. สายๆ คิดว่าจะแวะถ่ายอะไรสักแห่งระหว่างทาง จากนั้น เช็คอินเข้าที่พักตอนบ่ายแก่ๆ แล้วจึงเข้าไปเก็บแสงเย็นและทไวไลท์ที่อุทยานราชภักดิ์ หัวหิน จึงมองหาจุดที่จะแวะถ่ายภาพระหว่างทาง จุดแรกเป็นนาเกลือ ริมถนนพระรามสอง สมุทรสาคร แต่เนื่องจาก ยังไม่ถึงเวลาเกลือตกผลึก ผืนนามีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีทั้งกองเกลือและคนงานขนเกลือเข้าโกดัง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของงาน ผมจึงเปลี่ยนเป้าหมายต่อไปซึ่งไม่น่ามีปัญหา นั่นคือถ้ำเขาหลวง ที่อยู่ใกล้ตัวเมืองเพชรบุรี เป็นเส้นทางผ่าน ที่แวะออกนอกเส้นทางเพียงเล็กน้อย รถเข้าไปถึงเชิงบันไดทางขึ้นเลยทีเดียว เดินขึ้นและลงเขาเพียงเล็กน้อยพอเหงื่อออก ลักษณะเด่นของถ้ำนี้คือ มีช่องแสงทะลุจากด้านบน ซึ่งตัวถ้ำอยู่ด้านในภูเขา เป็นเหมือนห้องโถงใหญ่ ช่วงเวลาที่แดดออก ส่องลงมา ถ้ามีคนที่มานมัสการองค์พระประธานในถ้ำ มีการจุดธูปควันธูปจะลอยตัวขึ้นไปกระทบแสงแดดที่ส่องลงมาเป็นลำสวยงามมาก เวลาที่เหมาะสมจะเป็นช่วงสายๆ จนถึงบ่ายมากๆ ลำแสงจะเฉียง ลงมา ถ้าไปในจังหวะที่องศาของแสงส่องลงมาที่องค์พระประธานพอดีจะงดงามมาก ส่วนที่โดนแสงจะเป็นทองเหลืองอร่าม ส่วนอื่นๆ ก็จะหลบอยู่ในเงามืด ในถ้ำเขาหลวงมีจุดที่น่าสนใจสำหรับการถ่ายภาพสามจุด จุดที่สองคือ บริเวณพระพุทธรูปนอนองค์ใหญ่ ทั้งสองมุมที่กล่าวถึงนี้ ควรจะมีเลนส์ช่วงไวด์แองเกิ้ล กว้างมากๆ หรือจะถ่ายภาพแบบพาโนรามา จะทำให้เห็นภาพที่กว้างมาก ส่วนมุมที่ถัดเข้าไปที่อยู่ด้านในสุดต้องลอดซุ้มประตู บังเอิญช่วงที่ผมไป อยู่ในช่วงเวลาบ่ายๆ เจอแดดที่ย้อนทะลุลงมาเป็นลำแสงดูงดงามมาก และเป็นโอกาสที่ดีที่มีพระภิกษุเข้ามาชมถ้ำพอดี

ผมจึงนิมนต์ท่านให้นั่งในตำแหน่งที่สวยงาม เลือกหามุมถ่ายภาพมาได้ชุดหนึ่ง แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเพราะจะเป็นการรบกวนความเป็นส่วนตัวของท่าน ได้ภาพที่ดูแปลกตามาอีกชุดหนึ่ง เชื่อว่าหลายท่านเคยไปเยือนถ้ำแห่งนี้กันมาคนละหลายๆ ครั้งและคงพอจะรู้กิตติศัพท์ของลิงที่นั่นเป็นอย่างดีระวังอย่าถือของพะรุงพะรัง โดยเฉพาะของกิน หรือแม้กระทั่งน้ำดื่ม น้ำหวานกระป๋อง จะโดนขโมยจากมือกันเลยทีเดียว และถ้าทำท่าขัดขืนยื้อแย่งกับน้องลิงอาจจะเกิดอันตรายได้ อีกเรื่องหนึ่งคือคนขายของตรงที่จอดรถด้านล่าง ต้องมีการขอร้องแกมบังคับเกี่ยวกับ การขายของ ลองพิจารณาดูให้ดีครับ  ถ้าไม่มากเกินไปก็ถือว่าช่วยเหลือกันให้เฝ้าดูแลรถให้ แต่ถ้ามาขอร้องจนราคาสูงโอเวอร์เกินไปก็คงต้องต่อรองกันลงมาบ้างครับ

แวะคาเมลรีพลับบลิค

ก่อนถึงอำเภอชะอำมีสถานที่ที่อยู่ในทางผ่านที่น่าแวะเที่ยวอีกหนึ่งแห่งที่จะแนะนำ อยู่ฝั่งซ้ายของถนนก่อนถึงแยกชะอำ ชื่อ คาเมลรีพลับบลิค เป็นสถานที่ตกแต่งสไตล์ทะเลทรายโมร็อคโค แนวอาหรับ มีทั้งส่วนที่เป็นเครื่องเล่น สวนสนุก และอีกส่วนที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เป็นสวนสัตว์ขนาดเล็กๆ ซึ่งเน้นสัตว์เมืองร้อน ทางตะวันออกกลาง เช่น อูฐ ยีราฟ นกแก้วมาคอร์ นกฟลามิงโก้ เป็นต้น ผมเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพ ส่วนที่เป็นสวนสัตว์เลยมีแต่ตัวอย่างภาพสวนสัตว์นำมาฝากกัน ส่วนภาพสถาปัตยกรรมที่นับว่ามีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ถ้าได้จัดองค์ประกอบถ่ายภาพ อย่างพิถีพิถัน จะได้รูปภาพเป็นชุดที่น่าสนใจเพราะเป็นสวนที่แปลกใหม่ ที่เพิ่งสร้างและเปิดบริการได้ไม่นาน ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมไม่ได้เน้นถ่ายภาพสถานที่อาจจะเป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงกันระหว่าง พนักงานดูแลสถานที่ กับตัวผมที่จูนไม่ตรงกัน ซึ่งได้รับการเตือนจากเจ้าหน้าที่ว่า ห้ามถ่ายภาพนำไปเผยแพร่ ผมไม่เคลียว่าขอบเขตแค่ไหน แต่มานึกถึงในวันหยุดที่มีคนนับร้อยมาเที่ยวกันจะมีการควบคุมในลักษณะที่ผมเจอ ได้แค่ไหน แต่เข้าใจว่า คงเป็นการเตือนในลักษณะที่มาถ่ายประเภท พรีเวดดิ้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวมากกว่า เพราะพนักงานเห็นผมลากกระเป๋ากล้องใบใหญ่ เลยนึกว่าจะถ่ายในลักษณะนั้น ทั้งๆ ที่โดยส่วนตัว แม้ถ่ายแบบธรรมดา ผมยังไม่ถ่ายเลยครับ ที่ถ่ายส่วนใหญ่จะเป็นมุมอาร์ต และมุมสถานที่มากกว่า

ในเส้นทางที่ก่อนจะถึงอุทยานราชภักดิ์ เฉพาะทางฝั่งซ้ายของถนนที่ผ่าน มีหลายสถานที่ แต่ผมต้องเลือกเพราะเรื่องเวลาที่จำกัด ที่น่าสนใจและมีชื่อเสียง มีพระราชนิเวศมฤคทายวัน สถานที่นี้ผมเคยมาหลายครั้งเลยไม่แวะเวียนเข้าไปเยี่ยมชม ถัดมาก็จะเป็นสวนน้ำ วานา นาวา เป็นสวนน้ำแห่งการผจญภัยที่ตื่นเต้นแนวเอ็กซทรีม แต่ผมมีเวลาไม่มากนัก จึงผ่านเลยไปแวะเช็คอิน และมุ่งหน้าไปอุทยานราชภักดิ์เลยครับ

มุ่งหน้าอุทยานราชภักดิ์

ขอกล่าวถึงจุดประสงค์การจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ก่อนนะครับ

  1. เพื่อเทิดทูนพระมหาบูรพกษัตริย์แห่งกรุงสยามทั้งเจ็ดพระองค์เรียงตามลำดับจากซ้ายไปขวาอันได้แก่

พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

พระนเรศวรมหาราช

พระนารายณ์มหาราช

พระเจ้าตากสินมหาราช

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

  1. เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดพิธีการที่สำคัญของกองทัพบก และรับรองบุคคลสำคัญของประเทศ
  2. เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์แก่นักเรียนนักศึกษาและประชาชนทั่วไป ชื่ออุทยานราชภักดิ์นี้ เป็นชื่อพระราชทาน จากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความหมายว่าการแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ไทย

อุทยานราชภักดิ์อยู่เลยตัวเมืองหัวหินไปไม่ไกล จากทางแยกเข้าเขาเต่าตรงไปตามทางที่ไปประจวบคิรีขันธ์ประมาณ 2 กิโลเมตร ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษม ทางขวามือ มีป้ายปักทางซ้ายมือบอกก่อนถึง แต่ป้ายค่อนข้างเล็กไปน่าจะทำป้ายขนาดใหญ่ คร่อมถนนเลยจะเหมาะสมกว่า เนื้อที่อุทยานกว้างขวางมีที่จอดรถที่ลานด้านหน้า และยังมีที่จอดรถแยกออกไปทางด้านซ้ายอีก ผมขอกล่าวถึงระยะการยืนถ่ายภาพ และการเตรียมเลนส์ เพื่อการถ่ายภาพที่เหมาะสมนะครับ บริเวณอุยานมีความกว้างใหญ่มาก ถึงแม้พกเลนส์ปกติ ที่ไม่ใช่มุมกว้างไปก็เก็บหมด แต่ต้องถอยห่างออกมาสักหน่อย การเก็บภาพแม้จะใช้เลนส์ปกติ หรือยืนในระยะไกล ได้รูปร่างของรูปปั้นของอนุสาวรีย์ที่สง่างาม แต่ฉากหลังที่เป็นภูเขา น้ำหนักจะเท่าๆ กับรูปปั้น จนรู้สึกว่า กลมกลืนไป ผมต้องลองถ่ายด้วยเลนส์มุมกว้าง คือ ขยับตัวเข้าใกล้รูปปั้นเข้ามาอีก ก็จะทำให้รูปปั้นที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง หลุดจากรูปปั้น ถ้าเลนส์มุมยิ่งกว้างมากขึ้น องค์รูปปั้นก็จะหลุด จนแยกจากกันไปเลย แต่แม้จะได้รูปทรงที่ชัดเจนไม่มีน้ำหนักข้างหลังที่เท่าๆ กันของภูเขามาซ้อนกัน แต่การถ่ายภาพด้วยเลนส์มุมกว้าง จะทำให้รูปทรงของอนุสาวรีย์ที่ผิดเพี้ยนไป ไม่สวยงามเหมือนการถ่ายด้วยเลนส์ปกติ หรือช่วงเลนส์เทเลสรุปว่า การใช้เลนส์ที่เหมาะสมใช้ได้ตั้งแต่ช่วงเลนส์ 70 ไปจนถึงช่วงเลนส์มุมกว้าง และช่วงเลนส์ฟิชอายซึ่งให้ผลลัพธ์ของภาพที่ดูแปลกตาสวยงามครับ ส่วนเลนส์เทเลโฟโต้ มากกว่านี้ถ่ายได้สวยมากกว่าแน่นอน แต่ต้องถอยยืนถ่ายไกลๆ หรือจะครอปเฉพาะส่วน เฉพาะใบหน้าของแต่ละองค์ก็ดูสวยงามครับ หากสังเกตที่พื้นปูนด้านล่างให้ดี จะเห็นเหมือนเป็นสัญลักษณ์ชี้ไปที่รูปปั้นทั้งเจ็ดพระองค์ นั่นคือจุดกึ่งกลางของรูปปั้นทั้งเจ็ดพระองค์ ถ้ายืนถ่ายภาพตำแหน่งที่ชี้ไปทางอนุสาวรีย์ หมายถึงจะได้ภาพที่สมมาตร สองข้างเท่ากันพอดี

เก็บภาพให้ได้หลายอารมณ์

ความตั้งใจตั้งแต่แรกก่อนเดินทาง คือการไปเก็บแสงเย็นของอนุสาวรีย์ รูปปั้นของทุกพระองค์ เรียงเป็นแถวหน้ากระดาน หันไปทางทิศตะวันออกด้านหลังของอนุสาวรีย์เป็นทิศตะวนตก ผมวางแผนไว้จะต้องเก็บแสงท้องฟ้าสวยๆ ตอนพระอาทิตย์ตกมุมกว้างๆ ให้เห็นสถานที่ที่ตกแต่งไว้ในอารมณ์ ที่รูปปั้นย้อนแสง เป็นเงาดำ เห็นแต่รูปร่างหรือ Shape จะมองไม่เห็นรายละเอียด นอกจากใช้เลนส์มุมกว้าง และเลนส์ฟิชอายแล้ว ผมยังใช้ช่วงเลนส์เทเลโฟโต้เพื่อเน้นอารมณ์ของแสงท้องฟ้าด้านหลังในแต่ละองค์อีกด้วย เสียดายวันที่ผมไปถ่ายภาพนั้นท้องฟ้าไม่ระเบิดขึ้นมา แต่ได้ในแบบเรียบๆ เป็นอีกอารมณ์หนึ่ง ผมทดลองถ่ายภาพพาโนรามา แนวตั้งเพื่อนำมาต่อในโปรแกรมโฟโต้ชอป ถ่ายด้วยระยะเลนส์ 40 มิลลิเมตร จำนวน 25 ภาพแล้วนำมาต่อกัน ผมยืนถ่ายด้วยมือเปล่าโดยไม่ใช้ขาตั้งกล้อง แต่ต้องขยันถ่ายภาพให้ติดๆ กัน ให้ได้จำนวนภาพมาก ก็จะทำให้ภาพต่อกันได้อย่างแนบเนียน และข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องแนวระนาบของกล้อง ควรระวังไม่ให้กล้องเอียงไป เอียงมา หรือคอยรักษาเส้นขอบฟ้า ให้อยู่ในแนวเดียวกัน เพราะถ้าเอียงไปเอียงมา ก็จะทำให้ภาพโดนตัดออกไปทำให้เสียพื้นที่ไปอย่างน่าเสียดาย

เมื่อเก็บภาพในอารมณ์ย้อนแสง ท้องฟ้าสวยโดยตั้งกล้องหันหลังไปทางทิศตะวันตกเสร็จแล้วในตอนรุ่งเช้า สามารถมาเก็บแสงเช้า ได้อีกอารมณ์หนึ่ง ตอนเช้าจะเป็นการถ่ายภาพตามแสง เห็นรายละเอียดของรูปปั้นหรือ Form อย่างชัดเจน เวลาที่เปิดให้เข้าเริ่มตั้งแต่ 7.00 น. ถ้าพระอาทิตย์ขึ้นสูงมากไปหรือเข้าเวลาช่วงสาย จะเกิดเงาที่ค่อนข้างแข็งโดยเฉพาะรูปปั้นองค์ที่สวมหมวก จะเกิดเงาใต้หมวกเป็นเงาดำ จนมองไม่เห็นรายละเอียดที่เป็นดวงตา และแดดจะแรงอากาศจะเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆความจริงช่วงเวลาการถ่ายภาพคือช่วงเช้าตรู่ และช่วงเย็น ไปจนถึงพระอาทิตย์ตก คิดเป็นเวลาแล้วไม่กี่ชั่วโมง ถ้าจะเดินทางไปเช้าและกลับในวันเดียวก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่าจะเหนื่อยมากเพราะต้องออกจาก กทม. ตั้งแต่ยังไม่สว่าง และกลับถึง กทม. ก็คงจะค่ำไปจนดึก เลยวางแผนไว้ไปค้างหนึ่งคืน โดยเริ่มออกเดินทางที่ไม่ต้องเช้ามากเกินไป และกลับอย่างสบายๆ ครับ

เก็บทไวไลท์ตลาดน้ำอัมพวา

ถึงแม้ว่าในตอนแรกวางแผนว่าจะกลับหลังจากถ่ายภาพอุทยานเสร็จแล้วในช่วงเที่ยงๆ ถึงบ่ายอย่างไม่เร่งรีบ หลังจากเช็คเอ้าท์ ผมนึกถึงอัมพวาที่เป็นทางผ่าน เลยออกบ่ายๆ เก็บรายละเอียดไปเรื่อย จนไปถึงอัมพวาตอนเย็นไม่มาก หาที่รับประทานอาหารเย็น เสร็จแล้วมองหามุมเพื่อถ่ายช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อเดินหาได้แล้วตั้งกล้องรอเวลาผมใจเสียเหมือนกันเมื่อตอนตั้งกล้องไม่มีทีท่าว่าท้องฟ้าจะสวยเลย มีเมฆด้านหลังมองไม่เห็นดวงอาทิตย์เลย และอีกอย่างหนึ่งคือ ผมไปเย็นวันพฤหัสเป็นวันที่ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีแม่ค้าตั้งร้าน ร้านอาหารปิดเงียบหมด  แต่ผมชอบบรรยากาศแบบนี้นะครับ เป็นอารมณ์ที่แท้จริงของสถานที่ ไม่มีสิ่งแปลกปลอม ขอเพียงให้มีไฟเปิดขึ้นมาเล็กน้อย ตามทางเดิน ที่ตัวอาคาร หรือสะพาน ไม่ต้องมากก็ได้เวลาเย็นใกล้เข้ามา ดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำลงมาเรื่อยๆ จนลับหลังคาไปแล้ว มีแสงส้มเรื่อๆ ขึ้นมานิดเดียว ผมก็ทำใจแล้ว แต่จากนั้นไม่นาน เริ่มมีสำแสงพระอาทิตย์เป็นเงาดำ ทอดยาวขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงช่วงเวลาที่พีคที่สุด มีแสงไฟอาคารอย่างที่ผมต้องการเปิดตามทางเดิน ไฟที่สะพานเปิดไม่มากแต่ก็มองเห็นรายละเอียด ผมตั้งกล้องอยู่จุดเดียวเก็บรายละเอียดของภาพมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ถ่ายไปเรื่อยๆ จนแสงหมด แล้วเลือกช่วงที่ดีที่สุดมากใช้งานครับ