เรื่อง : นพดล
บทความนี้มาจาก Camerart Magazine 251/2018 August
กล้อง Leica รุ่นพิเศษ
MIFILM-CA
มีกล้องหลายรุ่นซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยจะเห็น จะมีก็แต่เพียงคนที่ติดตามกล้อง Leica อย่างใกล้ชิดเท่านั้นที่จะรู้ MIFILM-CA เป็นกล้องชนิดพิเศษตัวหนึ่ง ซึ่งผลิตออกมาในจำนวนน้อยมากในช่วงทศวรรษที่ 1920 ก่อนที่จะมีการผลิตเลนส์ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ซึ่งสามารถใช้กับกล้อง Leica รุ่นต่างๆ โดยการใช้ร่วมกับ Mikas เป็นชิ้นส่วนที่แยกต่างหาก กล้อง MIFILM-CA รุ่นนี้ใช้สำหรับงาน Microscope ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับ Mikas Type Attachment ที่ยึดติดตายตัว เพื่อให้สามารถนำกล้องไปติดบนกล้อง Microscope (กล้องจุลทรรศน์) ได้ ความจริงกล้อง MIFILM-CA ก็คือ Compur B ซึ่งไม่มีชัตเตอร์ และ ช่องมองภาพ ตัวกล้องสลักคำว่า MIFILMCA X 1/3 กล้องเหล่านี้หาได้ยากมาก มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบแรกจะมี Mikas-Type Attachment ยึดติดตายตัว ทาสีดำ แบบที่สองเป็น Mikas ที่มีเกลียวสามารถถอดเปลี่ยนได้
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_01.jpg)
กล้อง MIFILM-CA กล้องแบบ MICROSCOPE
X-Ray CAMERA
กล้อง Leica อีกรุ่นหนึ่งที่แปลกออกไปจากตัวอื่นคือ กล้อง Leica-Ray ที่ถูกสร้างขึ้นมาตามคำสั่งของรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ในช่วงเวลาก่อนสงคราม กล้องรุ่นนี้แตกต่างจากกล้องทั่วๆ ไป ตรงที่ขนาดของภาพเป็น 24 มม. เพื่อให้ใช้กับจอรับภาพ X-Ray ได้ ส่วนตัวกล้องก็เหมือนกับกล้องทั่วไป แต่ไม่มีช่องมองภาพ เลนส์แบบระยะชัดคงที่ เป็นเลนส์ XENON f1.5 ติดอยู่บนข้อต่อรูปกรวย มีแผ่นที่มีสกรู 4 ตัว ยึดเข้ากับเครื่อง X-Ray ตัวกล้องยังมีช่องแยกควบคุมการเคลื่อนโดยก้านขนาดใหญ่ในลักษณะนี้กล้องจะสามารถเปลี่ยนฟิล์มโดยง่ายเมื่อถ่ายภาพหมดม้วน ซึ่งฟิล์ม 1 ม้วน จะถ่ายภาพ 50 ภาพ กล้องนี้มีรหัสเรียกสำหรับทั้งกล้อง และเลนส์รวมทั้งอุปกรณ์คือ RYOOK
ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัท ไลทซ์ ที่นิวยอร์ค ได้เปลี่ยนกล้อง Leica มาตรฐานเป็นกล้องเอ็กซ์เรย์สำหรับ Westinghouse Corporation ซึ่งแตกต่างจากกล้อง X-Ray ของ Wetzlar คือ มีขนาดภาพเป็น 24 มม. x 36 มม. แทนที่จะเป็น 24 มม. x 24 มม. หลังจากกล้องรุ่นมาตรฐานได้หมดไปจากคลังสินค้า กล้องรุ่นอื่นหรือกล้องมือสองก็ได้รับการเปลี่ยนแทน
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_02.jpg)
กล้อง WETZLAR “X-Ray” CAMERA
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_03.jpg)
กล้อง NEW YORK “X-Ray” CAMERA
POST CAMERA
กล้อง POST CAMERA เป็นกล้องที่น่าสนใจอีกรุ่นหนึ่ง มีขนาดภาพ 2 แบบ เหตุที่เรียกว่า POST CAMERA ก็เพราะว่ามันถูกใช้ในงานของไปรษณีย์ โดยการบันทึกข้อมูลของมิเตอร์โทรศัพท์ เป็นกล้องที่ได้รับการออกแบบไปจากพื้นฐานการออกแบบให้ไม่มีช่องมองภาพ กล้องบางตัวของกล้องรุ่นนี้มีขนาดภาพ 24 มม. x 36 มม.ตามปกติ แต่ส่วนใหญ่มีขนาดภาพ 24 มม. x 27 มม.
Leica Ic เป็นกล้องไปรษณีย์ที่สร้างสมัยสงครามยุติใหม่ๆ ตัวกล้องเคลือบสีดำ และมีการสลักคำว่า DB บนก้านสำหรับขึ้นฟิล์มกล้องไปรษณีย์จริงๆ แล้วมีด้วยกัน 4 แบบ หลังสงคราม และอาจจะมีอีก 2 แบบ ถ้าจะนับรุ่น Leica Ig ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษด้วยกันใน 200 กล้อง ซึ่งอยู่ในรุ่นที่เรียกว่า Blitzspecial ซึ่งมาจากกล้องไปรษณีย์รุ่นหลังสุด กล้องแบบแรกมาจากกล้อง Leica M1 ซึ่งดัดแปลงให้มีขนาดภาพเป็น 24 มม. x 27 มม. ซึ่งกล้องนี้ถูกสร้างขึ้นมาตามความต้องการของ German Fernmeldeltechnisches Zentralamt ติดเลนส์ทางยาวโฟกัสคงที่ SUMMAR 35 มม. ซึ่งได้รับการตั้งไว้ที่อัตราส่วน 1:12 และ 1:7 ในกล้องรุ่นแรกมีรูรับแสง f3.5 รุ่นหลัง f2.8 ตัวกล้องได้ติดแผ่นด้านหน้า ซึ่งทำให้สามารถติดกับเครื่องมือในการถ่ายภาพมิเตอร์โทรศัพท์ได้ แสงที่ใช้ในการถ่ายภาพได้จากแฟลช ทำโดยบริษัท Smiss ใน Alos กล้อง 2-3 ตัว ได้ถูกส่งไป ตามด้วยกล้องชุดที่ 2 จำนวน 300 ตัว ชื่อรุ่น MD มีขนาด 24 มม. x 36 มม. แต่เป็นลักษณะของกล้องไปรษณีย์มีปุ่มล็อคชัตเตอร์บนความเร็วแฟลช
ในปี 1968 ชื่อรุ่นเปลี่ยนเป็น MDa มีกล้องไปรษณีย์ 220 ตัว ซึ่งมีขนาดภาพ 24 มม. x 27 มม. ถูกส่งไปตามด้วยกล้องอีก 200 ตัวที่มีขนาดภาพธรรมดา คือ 24 มม. x 36 มม.
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_04.jpg)
กล้อง LEICA Ic “Post” 24 มม. X 36 มม.
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_05.jpg)
กล้อง LEICA MD “POST” 24 มม. x 27 มม.
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_06.jpg)
กล้อง LEICA MDa Post Camera 24 มม. x 27 มม.
DISPLAY DUMMIEES
ยังมีกล้องพิเศษอีกหลายแบบที่ใช้สำหรับตั้งโชว์ ทำโดย Leitz ตัวแรกคือ กล้องเปล่า รู้จักในนาม Atrappe ซึ่งลักษณะเหมือน Leica หรือ LEICAFLEX ของแท้เป็นเพราะว่าใช้ชิ้นส่วนของแท้ แต่มีราคาเพียงเศษเสี้ยวของกล้องจริง เพราะข้างในไม่มีอะไร กล้องนี้สร้างขึ้นเพื่อใส่ตู้โชว์ เป็นการลดความเสี่ยงต่อการถูกขโมย กล้องรุ่นนี้รู้จักในนาม Atrappe
กล้อง Display Dumie ที่สร้างขึ้นในช่วงแรกไม่มีตัวเลขพิเศษ ภายหลังมีเลข 5 ตัว พร้อมกับอักษร A หลังสุดสำหรับ Leica R3 และ Leica R4 serial number
มีเลนส์ปลอมสำหรับใช้กับ Atrappe ด้วย โดยจะสลักวงแหวนตัวหน้าแตกต่างจากเลนส์จริง กล้องปลอมก่อนสงครามนั้นหายาก เนื่องจากใช้เป็นอะไหล่เป็นส่วนใหญ่ Leitz ยังได้ทำกล้องที่แสดงส่วนประกอบของชัตเตอร์ เพื่อสาธิตการทำงาน และใช้ในการนำออกแสดง กล้องนี้รู้จักในนาม Schnitt กล้องนี้ราคาต้นทุนในการผลิตสูงกว่ากล้องมาตรฐานฉะนั้นจึงมีผลิตออกมาน้อยมาก พวกสุดท้ายจะเป็นกล้องที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวจริงมาก กล้องเหล่านี้จะทำไว้น้อยมากสำหรับงานแสดงและตามร้านจำหน่าย Leica รุ่น IIIa สมัยก่อนสงครามกับรุ่น IIIf กับ M3 หลังจากนั้นก็ไม่มีการผลิตกล้องลักษณะนี้อีก กล้องเหล่านี้เป็นกล้องสำหรับสะสมชั้นเยี่ยม
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_07.jpg)
กล้อง Display Dummy ของ M3 กับ “Atrappe” เบอร์ 13011 A และเลนส์ 50 มม. F2.8 ELMAR
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_08.jpg)
กล้อง Display Dummy ของ III f, M2, M3, M4 และ M5
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_09.jpg)
กล้องสาธิตของ M3
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_10.jpg)
กล้องสำหรับแสดงขนาดใหญ่ของ III f (ซ้าย) และ M3 (ขวา) เพื่อเปรียบเทียบกับกล้องจริง
กล้อง Leica แบบแปลกๆ
British Leica 250
กล้องนี้เป็นกล้อง Leica ที่แปลกประหลาดที่สุด เพราะเป็นกล้องที่ผลิตโดยอังกฤษชื่อรุ่น 250ทำมาจากกล้องมาตรฐานของ Leica ก่อนสงคราม ซึ่งมีชุดเฟืองต่อออกมาด้านนอก และใช้ระบบการทำงานจากหลอดฟิล์มถึงหลอดฟิล์ม คาดว่ากล้องรุ่นนี้ทำในช่วงสงครามเพื่อการใช้งานพิเศษ
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_11.jpg)
“British” Leica 250
NASA Leica M4
NASA Leica M4 ได้รับการพัฒนาดัดแปลงโดยองค์การบริหารด้านอวกาศของสหรัฐ เพื่อใช้ถ่ายภาพดวงจันทร์โดยต่อปุ่มควบคุมต่างๆ ออกมา เพื่อให้ใช้กับถุงมือหนาๆ ได้ แต่เท่าที่รู้ Leica รุ่นนี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้บนดวงจันทร์
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_12.jpg)
“NASA” Leica
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_13.jpg)
LEICAFLEX SL MOT ที่ถูกดัดแปลงโดย NASA ปุ่มปรับชัตเตอร์ถูกออกแบบเป็นพิเศษสำหรับผู้ใช้ถุงมือ
NON-LEITZ CONVERSION
ใน 60 ปี ของประวัติศาสตร์ของ LEICA มีเพียง non-Leitz conversions บางชิ้นเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ หรือยังเป็นที่รู้จัก ไม่มีข้อสงสัยเลยที่กล้องหลายตัวได้ดัดแปลงนำไปใช้งานทางทหาร การแพทย์ หรือ ทางวิทยาศาสตร์ กล้องเหล่านี้บางตัวยังมีอยู่ในมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลหรือห้องทดลองในโรงงานอุตสาหกรรม “Leica 750” ดัดแปลงจาก Leica Ic มีช่องเก็บฟิล์มขนาดใหญ่มากได้ถูกสร้างขึ้น เชื่อว่าดัดแปลงโดยอังกฤษเหมือนกับรุ่น “British 250” แต่ไม่ทราบจุดประสงค์
อุปกรณ์เสริมของ Leica บางชิ้นถูกออกแบบและสร้างโดยผู้ผลิตรายอื่นเพื่อเพิ่มสมรรถนะของกล้อง โดยปกติ บริษัท Leitzจะร่วมมือในการผลิตด้วย อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนมากถูกดัดแปลง และขายโดยผู้แทนจำหน่าย Leitz โดยเฉพาะ Leitz New York ตัวอย่างเช่น “Direkt” เครื่องหน่วงเวลาการทำงานของชัตเตอร์ Rapido เครื่องขับเคลื่อนฟิล์มอัตโนมัติ (เพื่อแทนที่ระบบหมุน) และ “Vacub” ซึ่งเป็นไฟแฟลชตัวแรกที่สามารถสัมพันธ์กับชัตเตอร์ของLEICA กล้องเหล่านี้เกิดขึ้นตอนต้นของทศวรรษที่ 1930 อุปกรณ์ที่จะอธิบายต่อไป ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการดัดแปลงตัวกล้อง
Leitz ได้ทดลองติดแท่นเลนส์ซึ่งมีเลนส์หลายตัวบนกล้อง Leica ยุคแรกๆ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่ที่ Wetzlar กล้องนี้ถูกดัดแปลงโดยติดแท่นซึ่งสามารถติด screw เลนส์ได้ เพื่อใช้กับกล้องรุ่นที่มีเขี้ยว โดยไม่ต้องดัดแปลงเพิ่มเติม
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_14.jpg)
Haber และ Fink turret บนกล้องที่ถูกดัดแปลง
Leica รุ่นทดสอบ
ที่ Wetzlar จะมีร้านที่น่าสนใจอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งใช้เก็บกล้องต้นแบบ ซึ่งเราจะพบกล้องที่ใช้ในการทดลองที่น่าสนใจ และผลิตออกขาย ตัวอย่าง เช่น กล้อง Leica 75 (ขนาดใหญ่กว่ากล้องปกติ แต่เล็กกว่า Leica 250) ซึ่งสร้างเพื่อทดสอบด้านการตลาดในการรองรับกล้องที่สามารถใส่ฟิล์มได้ยาวกว่าปกติ สร้างขึ้นในปี 1934 โดยเป็นกล้องที่มีลักษณะกลไกเหมือนรุ่น Leica IIIa และ สีเงิน ฝาครอบเครื่องหาระยะชัดมีตัวเลข 142274 กล้องนี้เป็นกล้องตัวเดียวนอกเหนือจากรุ่น 250 ที่มีระบบโหลดฟิล์มจากกลักสู่กลัก
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_15.jpg)
LEICA TYPE 75
อีกรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจคือ กล้อง STEREO LEICA (Doppel) สร้างเป็นการส่วนตัวโดย Oskar Barnack ในปี 1935 ที่จริงแล้วเป็นกล้อง 2 กล้องในตัวเดียวที่มีชัตเตอร์ 2 อัน ความยาวตัวกล้อง 193 มม. แต่ความหนา ความสูงเท่ากับกล้องทั่วไปความยาวที่เพิ่มขึ้นทำให้สามารถติดที่ยึดเลนส์ที่มีจุดศูนย์กลางห่างกัน 71.5 มม. ความห่างนี้มีค่าประมาณเท่ากับระยะระหว่างตาคนทั้ง 2 ข้าง ขนาดภาพ 24 x 22.5 มม. เมื่อถ่ายภาพแล้วจะเลื่อนฟิล์มเข้าเท่ากับ 2 ภาพ และรูปถูกถ่ายด้วยเลนส์ 35 มม. กล้องนี้มีช่องมองภาพเดียวโดยอยู่ระหว่างเลนส์ทั้งสอง
เหตุที่สร้างกล้องนี้ขึ้นเนื่องจากขณะนั้น Leitz ได้สร้าง Stereo attachment ซึ่งสามารถใช้งานได้ดีเมื่อถ่ายภาพที่อยู่นิ่งเท่ากัน เนื่องจากมีชัตเตอร์อันเดียว ซึ่งจะถ่ายภาพหนึ่งก่อนแล้วค่อยถ่ายภาพที่สอง แต่ด้วยกล้องแบบนี้มีชัตเตอร์ 2 อัน ฉะนั้นจะเก็บภาพในเวลาเดียวกัน
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_16.jpg)
LEICA “DOPPEL”
กล้องต้นแบบที่น่าสนใจอีกชนิดคือ Leica -H ที่เป็นผลให้รุ่น G ประสบความสำเร็จ โครงการนี้เกิดขึ้นในปี 1959 เกี่ยวกับการทำกล้องที่มีเครื่องวัดแสงในตัวกล้อง ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดคือ 1/1000 วินาที ใช้เลนส์ f2.8 ซึ่งตั้งขนาดรูรับแสงได้ที่ด้านหลังของตัวกล้องใกล้ปุ่มปลด สิ่งที่เป็นที่น่าสังเกตของกล้องนี้คือ ขนาดที่กะทัดรัด ที่ขึ้นฟิล์มซึ่งกลมกลืนกับตัวกล้อง เลนส์เมาท์ซึ่งสามารถยืดหดได้ และมีบานพับปิดเลนส์ซึ่งสามารถเปิดได้เมื่อกดปุ่ม กล้องนี้ได้ผลิตออกมาจนสำเร็จและอยู่ในตระกูล Leica
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_17.jpg)
LEICA H CAMERA (LEITZ COLLECTION)
มีกล้องต้นแบบที่น่าสนใจอีก 2 ตัว ซึ่งมีแสดงไว้ในรูป Leica BOX เป็นกล้องครึ่งเฟรมในตอนต้นของทศวรรษที่ 1950 ซึ่งในตอนนั้นขนาดภาพนี้ดูเหมือนจะได้รับความนิยม
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_18.jpg)
LEICA BOX กล้องต้นแบบประเภท Half-frame
Leica 110 เกือบจะได้รับการผลิตและได้ออกแสดงในงาน Photokina 1974 แต่หลังจากได้รับการประเมินใหม่ทางการตลาดปรากฏว่าเป็นกล้องที่ไม่ค่อยเหมาะสมจาก Leitz
มีกล้องทดลองอีกหลายตัวที่ผลิตที่ Wetzlar เพื่อจะได้นำกล้องที่สมบูรณ์แบบในการค้นคว้าต่อไปอีกที่จะให้ข้อมูลเราเกี่ยวกับกล้องที่น่าสนใจอีกหลายรุ่น ซึ่งบางรุ่นก็มีการกล่าวถึงแล้ว เช่น กล้องต้นแบบ Leica 72 ซึ่งมีช่องมองภาพพิเศษเป็นรูปทรงกระบอก และ Leica IV ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าเป็นกล้องต้นแบบรุ่นแรกๆ ของ M3 กล้องบางตัวได้แสดงไว้ที่นี้
ท้ายที่สุด คือ ตัวอย่างของกล้อง Panoramic 35 มม. พิเศษที่ Wetzlar ออกแบบโดย Oskar Barnack ในทศวรรษที่ 30 ซึ่งเลนส์จะหมุนรอบแกน ซึ่งควบคุมโดยระบบลานนาฬิกา
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_19.jpg)
LEICA 110
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_20.jpg)
Experiment Leica 250
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_21.jpg)
Experiment Factory Turret camera
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_22.jpg)
กล้องทดสอบรุ่น II (Leitz Collection)
![](https://www.camerartmagazine.com/wp-content/uploads/2018/08/Leica-ep-9_23.jpg)
กล้อง OSKAR BARNACK PANORAMIC CAMERA
ย้อนไปดูตอนที่ 1 ได้ลิงค์ข้างล่างนี่
ย้อนไปดูตอนที่ 2 ได้ลิงค์ข้างล่างนี่
Leica…ตำนานกล้องที่ช่างภาพใฝ่ฝัน ตอน 2 (ปอกเปลือก…UR-CAMERA)
ย้อนไปดูตอนที่ 3 ได้ลิงค์ข้างล่างนี่
Leica…ตำนานกล้องที่ช่างภาพใฝ่ฝัน ตอน 3 (Leica I หรือ Leica model A)
ย้อนไปดูตอนที่ 4 ได้ลิงค์ข้างล่างนี่
ย้อนไปดูตอนที่ 5 ได้ลิงค์ข้างล่างนี่
ย้อนไปดูตอนที่ 6 ได้ลิงค์ข้างล่างนี่
ย้อนไปดูตอนที่ 7 ได้ลิงค์ข้างล่างนี่
ย้อนไปดูตอนที่ 8 ได้ลิงค์ข้างล่างนี่